3. ขอหย่า
หนึ่งชั่วยามต่อมา คนที่ควรนอนอยู่บนเตียงกลับมายืนอยู่ที่หน้าจวนสกุลหานแล้ว หานซูอันส่วมใส่ผ้าดิบสีขาวมีชุดคลุมผ้าป่าน ทอหยาบ ๆ สวมทับอีกชั้นตามประเพณีในสมัยโบราณ
ด้านในมีแขกเหรื่อผู้ใหญ่มากมายมาร่วมอาลัยกับการจากไปของผู้มากฝีมือ ราวกับมีมหรสพเสียอย่างนั้น ตามด้วยเสียงซุบซิบที่เริ่มดังให้ได้ยินเมื่อร่างเล็กก้าวเข้ามา
“สะใภ้ ไยไม่นอนพักอยู่ที่จวน” ใต้เท้าเถารีบตรงเข้ามาหา เขาเกรงว่าหานซูอันจะบอกเล่าเรื่องราวให้ผู้อื่นล่วงรู้ถึงสาเหตุการตายของบิดา แม้ความผิดจะเกิดจากนางด้วยก็เถอะ
ทว่าอย่างไรเสียมันก็เริ่มจากบุตรชายเขา หากไม่กระทำการเรื่องเช่นนั้นในเรือน จนทำให้นางคิดสั้นก็คงไม่เกิดเรื่อง
“ท่านพ่ออย่าได้กังวล ข้าแค่มาทำหน้าที่ของบุตร เอาไว้จบงานแล้วเราค่อยคุยกันนะเจ้าคะ” นางเอ่ยอย่างใจเย็น แววตาก็หาได้หม่นหมองอย่างแต่ก่อน ดูสดชื่นขึ้นเสียด้วยซ้ำ
“เอ่อ…เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า” เมื่อห้ามไม่ได้ ใต้เท้าเถาจึงต้องปล่อย เพราะยามนี้มีหลายสายตาจับจ้องอยู่ โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจกว่าครึ่งราชสำนักอย่างจวิ้นอ๋อง
คนผู้นี้นับถือหมอหลวงหานมาก เพราะคนตายเคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ เมื่อสิบปีก่อน ครั้งที่จวิ้นอ๋องยังมีพระชนมายุสิบแปดพรรษา ครานั้นเรียกได้ว่ารอดตายหวุดหวิดด้วยซ้ำ เพราะคมธนูฝังลึกมาก ต้องผ่าเอาออกจึงจะช่วยชีวิตได้ จวิ้นอ๋องจึงเคารพหมอหลวงหานดั่งบิดาอาจารย์ และยามนี้ร่างสูงสง่าที่ยืนอยู่มุมห้องก็ได้เดินเข้ามาหาบุตรสาวผู้มีพระคุณแล้ว เขาไม่ได้ชอบใจนางนัก เพราะหานซูอันมักเอาแต่ใจตนเอง เป็นสตรีเกียจคร้านไม่เอาสิ่งใดเลย นอกจากร้องจะแต่งกับบุรุษที่ตนรัก
ทว่านางคือบุตรสาวของหมอหลวงหานผู้มีพระคุณ จะให้เขานั่งเฉยไม่เอ่ยอันใดก็คงไม่ได้ เพราะอย่างไรก็เคยพบหน้ากัน
“คุณหนู จวิ้นอ๋องเดินมาเจ้าค่ะ” ว่านชิงรีบกระซิบบอก ในขณะที่ทั้งสองกำลังจะคุกเข่าลงที่หน้าโลงศพ
ใบหน้างามเอียงมองสาวใช้ของตนพร้อมกับย่นคิ้ว พรางนึกว่าผู้ที่ถูกเอ่ยถึงมีหน้าตาเช่นไร ทว่ามันกลับไม่มีปรากฏเลย ดูท่าอีกฝ่ายคงไม่สำคัญต่อหานซูอันกระมัง นางจึงนึกไม่ออก
ร่างเล็กหันกลับมาตามแรงรั้งของสาวใช้ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นร่างสูงสง่าน่าเกรงขามยืนอยู่ ดูองอาจภูมิฐานสมฐานะอ๋องจริง ๆ นี่สินะราชนิกูลในสมัยโบราณ
“ถวายพระพรท่านอ๋องเพคะ” นางย่อตัวลงพร้อมกับสองมือประสานกันด้วยท่าทางอ่อนน้อม สร้างความประหลาดใจให้กับคนตัวโตที่ยืนอยู่เป็นอย่างมาก ปกติหานซูอันไม่มีแม้แต่มารยาทขั้นพื้นฐานยามพบผู้อาวุโส ทว่าเหตุใดวันนี้ถึงได้ดูสงบเสงี่ยมนัก ซุ่มเสียงก็ดูต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
“ข้าเสียใจด้วย นึกไม่ถึงว่าหมอหลวงหานจะจากไปเร็วถึงเพียงนี้ หากมีเรื่องใดอยากให้ช่วยก็บอกแล้วกัน” เหยียนซีหนานตั้งใจเอ่ยเพียงเท่านี้ เพราะเขาไม่อยากเสวนากับหานซูอันมากนัก เกรงความไร้มารยาทเอาแต่ใจของนาง
“ขอบพระทัยเพคะ เช่นนั้นหากหม่อมฉันขอให้ท่านอ๋องช่วยในวันนี้เลยจะได้หรือไม่เพคะ” เมื่อโอกาสลอยมา มีหรือซูอันจะยอมพลาด หากให้นางขอหย่าเองอาจไม่สำเร็จเป็นแน่ แต่ถ้ามีพยานรู้เห็นอยู่ในงานนี้และเป็นถึงท่านอ๋องด้วย เชื่อว่าคนสกุลเถาคงไม่กล้าดื้อดึงรั้งนางเอาไว้หรอก
เหยียนซีหนานพยายามจะไม่ถอนหายใจออกมา เมื่อได้ฟังคำของคนตรงหน้า ซึ่งแววตาดูมุ่งมั่นอย่างไรไม่รู้ คิดจะร้องขออันใดกับเขากันนะ นึกมาถึงตรงนี้ก็ไม่น่าเอ่ยปากว่าจะช่วยเลย
“มีอันใด” ถามเสียงเรียบกึ่งห้วนด้วยซ้ำ
‘อีตาอ๋องนี้ดูเหมือนไม่ชอบหน้าเจ้าของร่างเลยแฮะ’ ซูอันนึกในใจมองอีกฝ่ายท่าทางดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าใดนัก
ทว่าตนตัดสินใจแล้วว่าจะออกจากจวนสกุลเถา หากไม่ลงมือวันนี้ก็อาจไม่มีโอกาสอีกแล้ว ต้องลองดูกันสักตั้งนั่นแหละ
ร่างเล็กย่อคุกเข่าลงต่อหน้าจวิ้นอ๋องทันที สร้างความตื่นตระหนกให้กับแขกที่อยู่ในห้องโถงทำพิธีเป็นอย่างมาก รวมถึงพ่อลูกสกุลเถาที่ดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“หม่อมฉันอยากหย่าเพคะ หม่อมฉันไม่ต้องการเป็นสะใภ้สกุลเถาอีกแล้ว ขอท่านอ๋องโปรดเมตตาช่วยซูอันสักครั้ง” นางส่งเสียงอ้อนวอนอย่างน่าเห็นใจ แม้แต่สาวใช้ยังมึนงงต้องรีบก้มหมอบตาม นึกไม่ถึงว่าผู้เป็นนายจะกระทำการเยี่ยงนี้
“สะใภ้ อย่ารบกวนท่านอ๋องเลย น้อยใจอันใดเรากลับไปคุยกันที่จวนเถิดนะ” ใต้เท้าเถารีบเอ่ย พร้อมกับกระซิบบอกบุตรชายให้เข้ามาประคองฮูหยินลุก
“อย่ามาแตะข้า” ขยับนั่งตัวตรง มือก็วางทับกันบนตัก สายตาที่มองสามีมันต่างออกไปจากเมื่อก่อนมาก อวี้หรานถึงกับหน้าเสีย คิดไม่ถึงว่านางจะกล้าเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าผู้คน
แววตานางยังคงดุดันไร้ความเป็นมิตร ซึ่งการกระทำทั้งหมดจวิ้นอ๋องสังเกตุเห็นทุกท่วงท่า
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ามีปัญหาอันใดกัน ทว่าเรื่องเช่นนี้ข้าช่วยไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของข้า เจ้าอยากหย่าก็ต้องคุยกับคนสกุลเถา คนภายนอกจะช่วยอันใดได้ เราไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย ทำได้เพียงแค่รับรู้เท่านั้น หากมีเรื่องให้ช่วยเพียงเท่านี้ เช่นนั้นข้าขอตัว” เหยียนซีหนานมองสตรีตรงหน้าที่กำลังขยับกายยืน ซึ่งหานซูอันเงยหน้าเผยยิ้มบางให้เขาก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
“ขอบพระทัยเพคะ” นางเอ่ยประโยคสั้น ๆ แต่ใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้มเล็กน้อย ทั้งที่จวิ้นอ๋องก็เอ่ยว่าช่วยไม่ได้แท้ ๆ ทว่าความเป็นจริงแล้ว เขาได้ช่วยนางกระจายข่าวแล้วต่างหาก
ทันทีที่น้ำเสียงจวิ้นอ๋องตรัสออกมา ภายในห้องและด้านนอกที่รอเข้ามาเคารพคนตายก็ได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว ไม่กี่อึดใจต่อมาเสียงเซ็งแซ่ก็ดังขึ้น คราวนี้ผู้ที่หน้าเสียจึงเป็นสกุลเถา เพราะสายตาทุกคู่เพ่งเล็งมาที่สองพ่อลูกแทน พวกเขาต่างก็อยากรู้สาเหตุที่หานซูอันอยากหย่า มันเป็นเพราะอะไร
เหยียนซีหนานมองคนตรงหน้านิ่ง มุมปากเขายกขึ้นมาเล็กน้อย ‘หึหึ ใช้ประโยชน์จากข้าสินะ’ นึกในใจถึงการกระทำของนาง หานซูอันแสร้งเอ่ยขอให้ช่วย ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเรื่องเหล่านี้คนภายนอกไม่อาจก้าวก่ายได้ นางจงใจทำเช่นนี้กระมัง
ที่สำคัญคือ เมื่อนางขอหย่ากับเถาอวี้หราน แน่นอนว่าคนในงานต้องสงสัย รวมถึงเขาด้วย มันมีเหตุอันใดถึงทำให้นางคิดเช่นนี้ ทั้งที่ชาวเมืองต่างก็รู้ว่าหานซูอันรักปักใจต่อเถาอวี้หรานมานาน ทว่าแต่งกันเพียงแค่ห้าวันกลับขอหย่าเสียแล้ว
หานซูอันย่อตัวคาระวะจวิ้นอ๋องอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับไปนั่งเผากระดาษให้บิดาอีกหน และนั่งอยู่เช่นนั้นตลอดครึ่งคืนไม่ไปไหน จนแขกเหรื่อออกไปหมดแล้ว มีเพียงเวรยามที่เดินไปมาอยู่ด้านนอก และสองพ่อลูกที่ยังอยู่
“สะใภ้ สิ่งที่เจ้าเอ่ยเมื่อบ่าย หมายความว่าอย่างไร” เมื่อไม่มีใคร ใต้เท้าเถาก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งทำดีกับบุตรกำพร้านี้อีก บิดานางนอนอยู่ในโลง ไม่มีอำนาจบารมีใดคำชูสกุลเถาแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องรั้งนางให้อยู่ เพราะไม่มีประโยชน์อันใดต่อตระกูล
หากต้องการหย่าขาดกับบุตรชาย แน่นอนว่าเขายินดี
“ตามนั้นเจ้าค่ะ ข้าไม่ต้องการอยู่ในจวนสกุลเถาอีกแล้ว วันพรุ่งรบกวนใต้เท้าหัวหน้าองครักษ์เขียนจดหมายหย่าให้ข้าด้วย” ประโยคแรกตอบคำถามบิดาสามี ทว่าช่วงท้ายนางหันมากล่าวกับเถาอวี้หราน ซึ่งยืนมองนางด้วยแววตาสงบนิ่ง
“ได้สิ แต่ต้องรออย่างน้อยหนึ่งปี หากหย่าขาดกันยามนี้ สกุลเถาเราคงถูกครหาเป็นแน่” ผู้เป็นสามีเอ่ยขึ้นอย่างเห็นแก่ตัว ซึ่งมันต้องเป็นเช่นที่เขาว่าแน่ หานซูอันไม่มีใครแล้วในยามนี้ หากเขาหย่าให้นาง สกุลเถาคงถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางเสียมากกว่าดีเป็นแน่ เขาจะไม่ยอมให้มันเป็นเช่นนั้นเด็ดขาด
#ยังไม่ข้ามวันลูกสาวเราขอหย่าแล้ว