บท
ตั้งค่า

บทที่ 9

ทันทีที่เจ้าดำลากเกวียนพ้นจากเขตที่ดินของภามเข้าไปในตัวป่า เงาไม้จากต้นไม้ใหญ่ในป่าก็ปกคลุมลงมา ทำให้บรรยากาศดูมืดครึ้มและวังเวงขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เสียงมอนสเตอร์ป่าที่ดังจ๊อกแจ๊กจอแจเป็นระยะๆ ในยามปกติเงียบหายไป และภามรู้สึกได้ถึงสายตานับร้อยคู่ที่จ้องมองมา

ภามไม่ได้สนใจเสียงที่เงียบลงผิดปกติ หรือสายตาที่จองมองมา ยังคงบังคับเกวียนมุ่งหน้าต่อไปยังทิศทางที่เป็นเป้าหมาย

จากการเข้ามาสำรวจบริเวณป่ารอบที่แล้ว ภามพอจะรู้สาเหตุที่ หุบเขาใจกลางป่าที่พระเจ้ามอบให้เขา ไม่เคยมีคนผ่านเข้ามาแล้ว เขาคิดว่าสาเหตุน่าจะมาจาก เพราะป่าบริเวณนี้เต็มไปด้วยมอนสเตอร์ฝีมือร้ายกาจ ยากที่ชาวบ้านทั่วไปจะต่อกรได้แน่ๆ ครั้งนั้นเขากับเจ้าดำต้องลงแรงต่อสู้ไปไม่น้อย กว่าจะสำรวจไปจนเจอถนนเส้นที่ชาวบ้านใช้เดินทาง

ในครั้งงนี้ภามจึงไม่แปลกใจนักที่เหล่ามอนสเตอร์เอาแต่แอบซุ่มมองเขาโดยไม่กล้าเข้ามา

“เจ้ามอนสเตอร์พวกนั้นน่าจะยังเข็ดจากเรื่อเมื่อคราวก่อนอยู่แน่ๆ เจ้าว่าไหม เจ้าดำ” ภามเอ่ยขึ้นมา เหมือนเป็นการชวนเจ้าดำคุย

ฮี้ๆ~

เสียงเจ้าดำร้องตอบรับกลับมาอย่างฮึกเหิม

“ฮ่าๆ เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับพรข้อที่ 3 ที่พระเจ้ามอบให้เลยนะ” ภามหัวเราะออกมา พลางนึกถึงพรข้อที่ 3 ที่เขาเคยขอเอาไว้

‘พรข้อสุดท้าย ผมขอ... ขอให้ผมมีพลังมากพอที่จะสามารถปกป้องคนที่ผมรักได้’

ตอนนั้นภามนึกถึงเพื่อนๆ ที่เขาช่วยไว้ไม่ได้ ทำให้เขาขอพรไปแบบนั้น เพราะไม่อยากให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยในชีวิตใหม่ที่พระเจ้ามอบให้ แต่ไม่คิดเลยว่า พลังที่เขาได้รับ ไม่เพียงแค่ปกป้องคนที่รักได้ เขาว่าพลังที่พระเจ้าให้เขานั้น มันมากกว่าเขาในโลกเดิมเป็นสิบๆ เท่าเลยทีเดียว

ดังนั้นในรอบแรกที่เข้ามาในป่านี้ มอนสเตอร์บางตัวเห็นออร่า และรังสีสังหารที่แผ่ออกมาจากรอบตัวของภามต่างก็พากับหลีกหลบหนีไปซ่อนตัวตามหลังต้นไม้ แต่ก็ยังไม่มอนสเตอร์บางตัวที่อยากลองดี พุ่งเข้าจู่โจมแขกไม่ได้รับเชิญที่บุกรุกเข้ามาในอณาเขตของตน ซึ่งผลที่ได้จากการลองดีคือการเจ็บตัวกันอย่างทั่วหน้า

ภามไม่ได้จัดการฆ่าเหล่ามอนสเตอร์ที่พุ่งเข้ามาโจมตี เพราะเขายังไม่อยากสร้างศัตรูกับ ‘เพื่อนบ้าน’ ที่อาศัยอยู่บริเวณรอบๆ ที่ดินของเขา ภามจึงแค่ออกแรงป้องกันตัวและปกป้องเจ้าดำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ครั้งนี้พวกมอนเตอร์เหล่านั้นจึงไม่มีตัวไหนกล่าพุ่งเข้ามาโจมตีอีกเลย

เมื่อเจ้าดำลากเกวียนมาถึงจุดที่คาดว่าน่าจะเป็นส่วนที่ลึกที่สุดของป่า เนื่องจากรอบๆ บริเวณนี้มีต้นใหญ่ปกคลุกหนาแน่นกว่าที่ผ่านมา จนแสงแดดแทบส่องลงมาไม่ถึงพื้นเบื้องล่าง

ตึง ตึง! ตึง!!

ยังไม่ทันที่เกวียนจบพ้นเขตป่าทึบ อยู่ๆ ก็มีเสียงฝีเข้าหนักๆ ก้าวเข้ามา ภามได้ยินเสียงฝีเข้าจำนวนมากวิ่งแตกกระจายไปในทิศทางต่างๆ เหมือนหลบหนีผู้มาใหม่

ภามหันไปมองตามทิศทางของฝีเท้า ก็ได้เห็นดวงตาสีแดงสามดวงจ้องออกมาจากเงามืดของป่า ก่อนที่มอนสเตอร์ร่างยักษ์จะค่อยๆ ก้าวตรงเข้ามาทางเกวียนของเขาเรื่อยๆ มอนสเตอร์ตัวนี้ร่างกายเหมือนกอริลลาแต่ตัวใหญ่กว่าถึงสามเท่า ที่ปากมีเคียวยาวออกมาเหมือนเสือเขียวดาบแต่ใหญ่กว่ามาก ดวงตาสีแดงสามดวง และขนสีดำที่ปกคลุกทั่วร่างทำให้มันดูน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก

กร๊าซซซซซ!!!

มอนสเตอร์ตรงหน้าร้องคำรามก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง เงื้อมือกางกรงเล็มเตรียมตะตบลงตรงหน้า

“หยุด!! วันนี้ฉันต้องเข้าไม่ทำธุระในเมือง ไม่ว่างเล่นด้วยหรอกนะ ไว้รอบหน้าก็แล้วกัน” ภามยกมือขึ้น พร้อมพูดห้ามมอนสเตอร์ตรงหน้า อย่างไม่ได้ตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เนื่องจากเคยประมือกันมาแล้วหลายครั้ง

มอนสเตอร์ตรงหน้าชะงักมือไว้กลางอากาศ ดวงตาสีแดงทั้งสามดวงจ้องมองลงมาที่ภามซึ่งนั่งอยู่บนเกวียนอย่างชั่งใจอยู่สักพัก ก่อนจะค่อยๆ ลดมือลง

ฮี้ๆ~

อยู่ๆ เจ้าดำร้องขึ้นมาเหมือนเป็นการสมน้ำหน้ามอนสเตอร์ตัวนั้น

กร๊าซซซซซ!!!

เจ้ามอนสเตอร์ได้ยินก็คำรามกลับเสียงดังอย่างอารมณ์เสีย จนลมที่พ่นออกมาจากปากของมันพัดผ้าที่ภามใช้โพกศีรษะไว้ปลิวหลุด จนผมเผ้าถูกพัดกระจายไม่เป็นทรงตามไปด้วย

“หยุด!!!!” ภามห้ามทัพด้วยน้ำเสียงที่เริ่มไม่พอใจ พร้อมยกมือขึ้นจัดผมให้เข้าทรงเช่นเดิม

เมื่อสิ่งมีชีวิตทั้งสองตัวหยุดนิ่งตามคำสั่ง มอนสเตอร์ยังคงจ้องมา ภามก็จ้องกลับ จ้องกันอยู่ครู่หนึ่งจนมอนสเตอร์เป็นฝ่ายยอมถอยทัพ มันหันหลังก่อนจะค่อยๆ เดินกลับเข้าไปในเงามืดของป่าเช่นเดิม

“เอาละ เอาก็ไปต่อกันได้แล้วเจ้าดำ” ภามของม้าคู่ใจของตน พร้อมสะบัดบังเหียนเป็นสัญญาณให้ออกเดินทางอีกครั้ง

ภามยังคงบังคับทิศทางไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง ต้นไม้บริเวณรอบๆ ตัวก็เริ่มดูบางตาลง ต้นหญ้าตามทางที่ขึ้นรกชันก็เริ่มหายไป เห็นบ้างเพียงประปราย เป็นสัญญาณว่าพวกเขาใกล้จะออกจากเขตตัวป่าแล้ว

ไม่นานนักภามก็เห็นเส้นทางที่ถูกใช้เป็นถนนสำหรับเดินทาง และแล้วก็มีเรื่องที่ต้องตัดสินใจ...

‘ไปทางซ้าย หรือขวาดีนะ’ ภามมองซ้ายที มองขวาที

‘เลี้ยวซ้ายก็แล้วกัน’ เมื่อตัดสินใจได้ ภามก็บังคับทิศทางให้เจ้าดำขึ้นไปเดินบนเส้นทางมุ่งหน้าไปด้านซ้าย

หลังจากนั้น เดินทางตามเส้นถนนที่มีไปเรื่อยๆ ตามข้างทางก็มีเพียงต้นไม้เล็กๆ ไม่สูงมากนักขึ้นอยู่ประปราย จนเวลาล่วงเลยมาอีกเป็นชั่วโมง ภามก็ยังไม่เห็นทีท่าว่าจะพบตัวเมือง เขาจึงตัดสินใจหยุดพักข้างลำธารเล็กๆ เพื่อให้เจ้าดำได้พักเท้า และกินน้ำ

ภามมองท้องฟ้าที่ตอนนี้เริ่มจะมืดแล้ว ถ้าหากยังไม่ถึงตัวเมืองในอีกหนึ่งชั่วโมง มีหวังต้องพักนอนแถวๆ ตามชายป่าแบบนี้ไปก่อนแน่ๆ เห็นดังนั้นภามจึงกระโดนขึ้นเกวียน และออกเดินทางต่อ

เดินทางตามเส้นทางมาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงนิดๆ ภามก็เริ่มมองเห็นกำแพงเมือง ที่ตอนนี้เริ่มมีการจุดคบเพลิงไว้ให้ส่องสว่างตามขอบกำแพงแล้ว

“เฮ้อ ถึงสักทีนะเจ้าดำ ใช้เวลาไปเกือบสี่ชั่วโมงแหน่ะ ปวดหลังปวดก้นไปหมด ป่ะ! เข้าเมืองกันเถอะ!!”

ฮี้ๆ~

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel