บทที่ 4
ภามรู้สึกว่าตัวเขาลอยอยู่ในอากาศจากแรงซัดของระเบิด สติของเขาดับวูบไป ก่อนจะค่อยๆ กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ความเจ็บปวดที่มีในตอนแรกหายไปจนหมดแล้ว
‘หรือความรู้สึกล่องลอยแบบนี้จะเป็นความตายกันนะ’
ภามรู้สึกว่า ความรู้สึกล่องลอยเบาสบาย ไร้ความเจ็บปวดแบบนี้ มันทำให้นึกถึงคำพูดของเหล่านักรบที่ชอบพูดกันว่า ‘หน้าที่นั้นหนักกว่าขุนเขา ความตายนั้นเบากว่าขนนก’ เป็นแบบนี้เองสินะ
“เจ้าจะยืนหลับตาอยู่อย่างนั้นอีกนานไหม”
เสียงเหมือนเด็กผู้หญิงดังขึ้นข้างๆ ทำให้ภามรีบลืมตาขึ้นทันที จึงได้พบว่าเขายืนอยู่จริงๆ ตัวของเขากลับเบาสบายเหมือล่องลอยอยู่ในอากาศไม่มีผิด
ภามมองไปรอบๆ พบว่าเขายืนอยู่บนพื้นสีขาวสะอาด แต่มองไปจนสุดสายตาก็ไม่พบจุดสิ้นสุด เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนก็พบว่าด้านบนไม่ได้เป็นท้องฟ้าหรือเพดานแต่อย่างใด สรุปคือ เขายืนอยู่บนพื้น โดยที่รอบๆ ตัวไม่มีเพดานหรือผนังกั้น พบแต่สีขาวไกลสุดลูกหูลูกตาจนไม่เห็นจุดสิ้นสุด
“ที่นี่มันที่ไหนกัน” ภามบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัย
“เป็นสถานที่ที่เราจัดไว้เพื่อพบ และพูดคุยกับเจ้า” เสียงที่เหมือนเด็กผู้หญิงคนเดิมกล่าวขึ้นมาอีก
ภามหันไปมองตามทิศทางของเสียงก็ได้พบกับ เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ผมดำยาวถูกถักไว้เป็นเปียหลวมๆ สองข้าง อยู่ในชุดเดรสยาวสีขาว เธอสูงพ้นเอวเขาขึ้นมาเพียงเล็กเท่านั้น ภามจ้องเด็กผู้หญิงตรงหน้าด้วยสายตางงงวย
“เธอเป็นใครกัน แล้วที่มันคือที่ไหน”
“เราคือเจ้าของ และผู้มีอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง อย่างที่บอกที่นี่เป็นสถานที่ที่เราจัดไว้เพื่อพบ และพูดคุยกับเจ้า” เด็กผู้หญิงตรงหน้าตอบพร้อมส่งยิ้มมาให้
“เจ้าของทุกสรรพสิ่งคือ? พระเจ้าหรอ? เด็กตัวเล็กๆ อย่างเธอเนี่ยนะ” ภามถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“จะเรียกว่าแบบนั้นก็ได้ ‘พระเจ้า’ คือ ชื่อที่ผู้คนใช้เรียกเรา ส่วนกายที่เจ้าเห็นก็เป็นเพียงรูปลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อนำมาใช้พูดคุยกับเจ้าเพียงเท่านั้น แต่ยังไงเราก็คือเรา”
ภามฟังคำอธิบายที่เหมือนไม่ได้อธิบายแล้วก็ยิ่งงงเข้าไปอีก ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเพิ่งโดนระเบิดจนเขาเชื่อว่าตัวเองไม่น่าจะรอดชีวิตไปได้ และมาอยู่ในสถานที่ประหลาดที่เป็นสีขาวที่หาจุดสิ้นสุดไม่ได้แบบนี้ เขาจะต้องคิดว่าเด็กผู้หญิงตรงหน้าบ้า และกำลังเล่นแสดงตัวเป็นพระเจ้าแน่ๆ
“เราไม่ได้บ้า และไม่ได้กำลังเล่นบทเป็นพระเจ้า แต่เราเป็นสิ่งนั้น” เด็กหญิงกล่าวอย่างรู้ความคิดของภาม
“เธอรู้ความคิดของฉันได้ยังไง!” ภามถามอย่างตกใจ เขามั่นใจว่าเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
“บอกแล้วว่าเราเป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่ง นั่นรวมถึงตัวเจ้าด้วย เจ้าคิดอะไร เราจะไม่รู้ได้อย่างไร”
“เด็กน้อยอย่างเธอเป็นพระเจ้าจริงๆ หรอ” ภามยังคงถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นเช่นนั้น” เด็กหญิงยืนยัน
“ถ้าท่านเป็นพระเจ้าจริง ทำไมต้องมาในรูปลักษณ์เด็กน้อยแบบนี้ด้วย ไม่คิดว่ามันจะทำให้ผู้ที่พบเห็นยากจะเชื่อว่าท่านเป็นพระเจ้าหรือไง” ยังไงภามก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่ดี
“ไม่มีเหตุผลในการเลือกใช้รูปลักษณ์ใด ณ เวลานี้ เราอยากใช้รูปลักษณ์นี้ ก็เพียงเท่านั้น”
ภามมองภาพเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้าที่กำลังตอบคำถามของเขา คำตอบของคนตรงหน้า บวกกับภาพลักษณ์เด็กหญิงตัวน้อย มันช่างเหมือนเด็กเอาแต่ใจที่บอกว่า ‘จะทำในสิ่งที่อยากทำเท่านั้น’ จริงๆ ภามคิดพลางส่ายหัวเบาๆ
“ งั้นคำถามสุดท้าย ถ้าท่านเป็นพระเจ้าจริง ช่วยบอกหน่อยว่าผมคิดอะไรอยู่”
“เจ้ากำลังคิดว่าร่างนี้ของเราน่ารักดี... ไม่สิ คิดว่าน่ารักมากด้วย... เจ้าเป็นโลลิรึ? ...อ๊ะ เจ้าเปลี่ยนไปคิดว่า ไม่น่าเชื่อว่าเราเป็นพระเจ้าจริงๆ ... อ้อ เปลี่ยนไปคิดว่า หรือนี่จะเป็นความฝันแล้ว... เจ้าเชื่อเถอะว่านี่ไม่ใช่ความฝัน.. เปลี่ยนไปคิดว่..”
“พอๆ ผมเชื่อแล้ว” ภามตัดบทอย่างยอมแพ้ในที่สุด
“เช่นนั้น ท่านอยากจะพบผมทำไม หรือท่านต้องพบปะพูดคุยกับทุกคนที่ตาย” ภามถามเข้าประเด็น เมื่อเริ่มจะเชื่อว่าคนตรงหน้าเป็นพระเจ้าจริงๆ
“ผู้ที่จะได้พบกับเรามีเพียงบางคนเท่านั้น ส่วนที่เรามาพบเจ้านั้น เป็นเพราะ ก่อนตายเจ้าได้ทำคุณงามความดีใหญ่ลวง อันช่วยให้มนุษย์หลายคนได้พ้นจากภัยของยาชั่วร้าย”
“ผมไม่ได้ช่วยใคร ผมตายเพราะระเบิด และผมช่วยคนที่ผมรักไว้ไม่ได้สักคน!!” ภามพูดขัด
“แล้วเจ้ารู้ไหมว่า การที่เจ้าระเบิดตัวตายในโกดังแห่งนั้น เจ้าได้ทำลายสิ่งใดไปด้วย” เด็กหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้ากล่าวถามด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่เข้ากับหน้าตาน่ารักๆ ของเธอ
“ผมไม่รู้ และผิดไม่ได้อยากจะรู้ด้วย ผมตายแล้ว เรื่องพวกนั้น รู้ไปจะมีความหมายอะไร”
“แต่เจ้าจำเป็นต้องรู้ สิ่งที่อยู่ในโกดังแห่งนั้นเป็นยาบ้าชนิดใหม่ ที่เพิ่งทำการทดลองสำเร็จ ฤทธิ์ของยานั้นร้ายแรงยิ่งกว่ายาเสพติดทุกชนิด ผู้ที่คิดค้นมันได้ถูกฆ่าปิดปากไปแล้ว ส่วนสูตรผลิตยา และตัวยาล็อตต้นแบบ ก็ถูกเจ้าระเบิดทิ้งไปจนหมด ดังนั้น มนุษย์จึงรอดพ้นจากภัยของยาร้ายชนิดนี้ เพราะเจ้า”
ภามฟังเรื่องที่พระเจ้าเล่าพลางอ้าปากค้าง ไม่เข้าใจว่า มันมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้เกิดขึ้นได้ยังไงกัน เขาไม่ได้ทำเรื่องทั้งหมดไปเพราะอยากจะช่วยโลก แต่ผลจากการกระทำนั้นกลับเป็นความดีอันใหญ่หลวง ที่ใหญ่เพียงพอให้เขาได้มาพบกับพระเจ้า!!
“จากความดีที่เจ้าได้กระทำไว้ เราจะมอบชีวิตใหม่ให้กับเจ้าอีกครั้ง แต่เนื่องจากร่างของเจ้าบนโลกถูกระเบิดจนแหลกละเอียดไปแล้ว เราจึงจะส่งเจ้าไปอยู่ในโลกใบใหม่ พร้อมกับพร 3 ประการ” พระเจ้ายังคงอธิบายจุดประสงค์ที่ท่านมาพบกับภามต่อไป
“ยังมีโลกอื่นอีกหรอ?” ภามถามงงๆ
“ยังมีเรื่องอีกมากมายที่มนุษย์เช่นพวกเจ้ายังไม่รู้ จงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ศึกษาค้นคว้าเรื่องต่างๆ ให้ได้มากที่สุดเถอะ”
“แล้วพร 3 ข้อนี่ผมขออะไรก็ได้เลยหรอ”
“เจ้าขอมาได้เลย หากไม่ใช่เรื่องผิดบาป หรือเรื่องที่ก่อให้เกิดการเสียสมดุลในโลก เจ้าก็จะได้รับพรตามที่เจ้าขอไว้ทุกประการ ไม่แน่เจ้าอาจจะได้มากกว่าที่เจ้าขอด้วยซ้ำ” พระเจ้าในร่างของเด็กหญิงตัวน้อยกล่าว พร้อมส่งยิ้มอย่างใจดี
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอ...”