๒.๒ ปรารถนาซาตาน
น้ำหนักเตียงที่ยุบยวบยาบลงปลุกให้หญิงสาวที่กำลังหลับตื่นขึ้นมาจากนิทรา ดวงตาคู่หวานเบิกโพลง พร้อมกับขยับตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ขอบเตียงด้านข้างนั้นเป็นใคร
“อาภีม!”
“ดีใจขนาดนั้นเชียวที่เห็นอา” แม้น้ำเสียงจะฟังดูราบเรียบ แต่คิ้วเข้มกลับเลิกขึ้นอย่างล้อเลียน
“อาเข้ามาห้องมิ้มได้ยังไง” เสียงหวานถามอย่างหวาดระแวง
“ก็เปิดประตูแล้วเดินเข้ามาน่ะสิ อาแค่จะมาดูว่าป่วยจริงหรือเปล่า” ภีมภัทรตอบง่ายๆ และคลี่ยิ้มบางๆ คล้ายดั่งว่าเธอกับเขาไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกันมาก่อน แต่ก็อย่าหวังว่าเธอจะหายโกรธง่ายๆ
“นี่อาหาว่ามิ้มโกหกว่าตัวเองไม่สบายเหรอคะ”
“ไม่รู้สิ แต่มิ้มชอบทำอะไรเป็นเด็กๆ อาเลยไม่ค่อยเชื่อถือสักเท่าไหร่”
เจ้าของร่างสูงไม่แค่พูดแต่ยังเอื้อมมือไปอังบนหน้าผากมนอย่างถือวิสาสะ อันดามันทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ได้แต่นั่งนิ่ง เพราะไม่คิดว่าเขาจะจู่โจมอย่างอ่อนโยนแบบนี้
“ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา”
“มิ้มปวดหัวนี่คะ ไม่ได้ตัวร้อน” พูดจบก็ปัดมือเขาเมื่อนึกไว้ว่าควรทำเช่นนั้นแต่แรก “ทำไมคุณพ่อกับคุณแม่ถึงยอมให้อาภีมเข้ามาในห้องมิ้ม”
“เพราะพ่อกับแม่ของมิ้มเชื่อในความเป็นสุภาพบุรุษของอาน่ะสิ”
“เฮอะ เชื่อผิดคนแล้ว” อันดามันทำเสียงหมิ่นๆ แถมยังย่นจมูกอย่างอดไม่ได้
“ทำเสียงแบบนี้ ยังโกรธเรื่องที่ถูกอาจูบเมื่อตอนบ่ายอยู่ใช่ไหม”
“มิ้มไม่เก็บมาโกรธให้รกสมองหรอก มิ้มลืมเรื่องบ้าๆ นั่นไปหมดแล้ว” เสียงหวานแหวลั่น
“นั่นสิ จะโกรธทำไม ในเมื่ออากับมิ้มก็เคยทำอะไรที่มากกว่าจูบมาแล้ว อีกอย่างมิ้มก็คงจะเคยจูบกับแฟนมาบ้าง”
“อาภีมบ้า มิ้มไม่ใช่ผู้หญิงมักง่ายอย่างที่อาคิดนะ” ถึงเธอจะเคยจูบมาบ้าง ก็เคยแต่กับเขาคนเดียวนั่นแหละ
“งั้นเหรอ อาเห็นมิ้มชอบแต่งตัวเปรี้ยว เว้าตรงนั้นเปิดตรงนี้ นึกว่าเจนจัดซะอีก” ภีมภัทรยังยั่วเย้าไม่เลิก ตาก็กวาดมองไปทั่วร่างอรชรด้วยสายตาแบบผู้ชายที่มองผู้หญิง
“อาภีม!”
อันดามันโกรธจัด กระโจนเข้าไปเล่นงานร่างสูง แต่กลับถูกภีมภัทรรวบมือเล็กๆ เอาไว้แล้วรั้งเอวกลมเข้าไปกอดจนอกอวบอิ่มเบียดแนบเข้ากับอกกว้างของเขา
“อาละวาดใส่อาได้แบบนี้ แสดงว่าอาเป็นยาดีสินะ เห็นหน้าอาก็มีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาทันทีเลย””
“ปล่อยมิ้มนะ อาไม่ใช่สุภาพบุรุษเลยสักนิด พ่อกับแม่เชื่ออาได้ยังไง” หญิงสาวดิ้นขลุกขลัก หวั่นไหวอีกแล้ว เมื่อถูกเขากอดไว้แบบนั้น
“มิ้มเป็นคนกระโจนเข้ามาหาอาเองนะ อาจำได้ว่าอาไม่ได้ทำอะไรมิ้มเลย”
“แล้วที่กอดมิ้มอยู่นี่ล่ะ”
“ในเมื่อมีผู้หญิงสวยๆ กระโดดเข้ามาให้กอดถึงที่ ถ้าอาไม่กอด อาอาจจะถูกกล่าวหาว่าเป็นเกย์ก็ได้นะ” ภีมภัทรไม่พูดเปล่าแต่แกล้งรัดแน่นกว่าเดิมเสียอีก
“ปล่อยมิ้มนะคะอาภีม มิ้มอึดอัด” เสียงของอันดามันเริ่มอ่อนลง
“แต่อาชอบ มิ้มนุ่มไปทั้งตัว”
“อย่ามาทำหื่นใส่มิ้มนะ มิ้มไม่ใช่ผู้หญิงของอา”
“อยากเป็นมั้ยล่ะ อากำลังเปิดรับสมัครอยู่”
“ไม่ค่ะ!” อันดามันสวนกลับไปทันควันแบบไม่ต้องคิด ทำเป็นเก๊กขรึมเป็นผู้ใหญ่ ที่แท้ก็เจ้าชู้ยักษ์ เกลียดขี้หน้าที่สุด!
“อาก็คิดอยู่แล้วล่ะว่ามิ้มต้องปฏิเสธ เพราะมิ้มเป็นพวกปากกล้าขาสั่น ทำตัวเป็นผู้หญิงเปรี้ยว มั่นใจในตัวเอง แต่เอาเข้าจริงไม่กล้าเล่นกับไฟอย่างอาหรอก”
“ทำไมมิ้มจะไม่กล้า เพียงแต่อาไม่ใช่สเป็กของมิ้มเท่านั้น”
“เอาเป็นว่าอาเชื่อ และไม่คิดว่านั่นคือข้อแก้ตัวของมิ้มก็แล้วกัน”
“มิ้มไม่ได้แก้ตัว แต่มิ้มไม่อยากเป็นผู้หญิงของอา และไม่อยากเกี่ยวข้องใดๆ กับอาอีก”
“แต่อาว่าเราจะได้เกี่ยวข้องกันแน่ๆ และเร็วๆ นี้ล่ะ มิ้มทำใจรอได้เลย”
“อาหมายความว่ายังไง” อันดามันจ้องใบหน้าหล่อร้ายของเขาอย่างไม่วางใจ
“เอาไว้ถึงเวลาก็รู้เองนั่นล่ะ” เขาไม่ยอมตอบให้กระจ่าง พอๆ กับที่ไม่ยอมปล่อยมือจากเอวเล็กของเธอ
“แต่มิ้มอยากรู้ตอนนี้”
“แล้วอาจะได้อะไรแลกเปลี่ยนล่ะ”
“อาคงไม่ได้เล่าเรื่อง...ให้พ่อกับแม่ฟังหรอกนะคะ” อันดามันอึกอักด้วยความวิตกกังวล แต่เขาก็รู้ความหมาย
“อาไม่มีเรื่องอะไรจะเล่าให้พี่ปณิธานกับพี่อารยาฟังหรอก ในเมื่อมิ้มบอกให้อาลืม อาก็ลืมไปแล้ว ไม่ต้องห่วงว่าอาจะรื้อฟื้น”
พูดจบวงแขนแกร่งก็ละออกจากเอวคอดกิ่ว ก่อนที่ร่างสูงจะลุกจากเตียง ตรงไปยังประตูด้วยสีหน้าเคร่งขรึมคล้ายดั่งว่าเธอพูดอะไรผิดอย่างมหันต์ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด ผิดมาตั้งแต่ต้น...
อันดามันเดินตัวปลิวเข้าบ้านหลังจากเพิ่งจะสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ ซึ่งก็ผ่านไปได้ด้วยดี เธอมั่นใจว่าตัวเองผ่านทุกวิชา และจบการศึกษาในภาคเรียนนี้แน่ๆ หญิงสาวเข้าไปทักทายบิดามารดาตามปกติ ก่อนจะขอตัวขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมารับประทานอาหารเย็นพร้อมกัน
“สอบเสร็จแล้วใช่มั้ยยัยหนู” อารยาเอ่ยถามลูกสาวขณะลงมือรับประทานอาหาร
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณแม่ แล้วก็ไม่ต้องห่วงนะคะมิ้มจบเทอมนี้แน่นอน”
“งั้นก็ดีแล้วล่ะลูก พอดีพ่อกับแม่คุยกับอาภีมไว้ว่า หลังจากที่มิ้มเรียนจบจะให้มิ้มไปทำงานกับอาภีมเลย”
“อะไรนะคะคุณแม่!” อันดามันถึงกับวางช้อนเมื่อได้ยินมารดาบอกเช่นนั้น
“ก็ที่บริษัทมีแต่อาภีมกับอาภูเป็นคนบริหาร คุณพ่อก็เป็นผู้พิพากษา แม่ก็เป็นแม่บ้าน ครอบครัวเราไม่เคยมีส่วนช่วยงานในบริษัท พ่อกับแม่ก็เลยอยากให้มิ้มไปช่วยแบ่งเบาภาระอาทั้งสองบ้าง” อารยาบอกเหตุผลกับลูกสาว
“แต่มิ้มยังไม่พร้อมจะทำงานนี่คะคุณแม่ มิ้มอยากเรียนต่อก่อน คุณพ่อให้มิ้มเรียนต่อก่อนนะคะ” ประโยคหลังหญิงสาวหันไปอ้อนบิดาซึ่งมักจะตามใจเธอเสมอ ความจริงแล้วเธอยังไม่ได้คิดจะเรียนต่อจริงๆ หรอก เพียงแต่หาข้ออ้างไม่อยากไปทำงานกับภีมภัทรเท่านั้นเอง ซึ่งดูเหมือนว่าผู้เป็นบิดาจะรู้เท่าทัน
“พ่อว่าทำตามที่แม่บอกนั่นแหละดีแล้ว เรื่องเรียนต่อพ่อไม่ขัด แต่อยากให้หาประสบการณ์จากการทำงานจริงก่อน จะได้มองอะไรออกและเอาไปต่อยอดเรื่องเรียนได้ง่ายกว่า” ปณิธานให้ข้อคิด และเรื่องนี้เขาก็ไม่คิดจะตามใจลูกสาวแต่อย่างใด เพราะเห็นว่าเรื่องเรียนต่อรอได้ และอันดามันจะมองอะไรออกได้ง่ายกว่า หากมีประสบการณ์ทำงานจริงก่อน
“แต่ว่ามิ้ม...”
“ไปลองดูก่อนนะ บางทีลูกอาจจะชอบทำงานจนไม่อยากเรียนต่อก็ได้” อารยาให้กำลังใจและยิ้มละไมเมื่อเห็นลูกสาวทำท่างอนใส่แบบนั้น
“มิ้มมั่นใจว่าไม่มีทางชอบแน่ๆ” อันดามันไม่ได้หมายถึงงาน แต่หมายถึงคนที่ตัวเองต้องไปทำงานด้วยต่างหาก พร้อมกันนั้นก็อดคิดถึงแผนการของตัวเองก่อนหน้านี้ไม่ได้ เธอเคยมีแผนจะให้สายน้ำผึ้งไปทำงานกับภีมภัทร แต่ที่ไหนได้สุดท้ายตัวเองก็ต้องได้ทำแทนเสียเอง...
“ไม่ลองแล้วจะรู้เหรอลูก” คนเป็นแม่บอกยิ้มๆ อีกประโยค
“ถ้าอย่างนั้นมิ้มไปทำกับอาภูได้มั้ยคะ” อันดามันต่อรอง