๒.๑ ปรารถนาซาตาน
๒
ปรารถนาซาตาน
หลังจากส่งสายน้ำผึ้งถึงที่ทำงานแล้ว อันดามันก็ขับรถกลับบ้านตัวเอง ความจริงจะเรียกว่าบ้านของเธอก็ไม่ถูกนัก เพราะบ้านหลังนี้เป็นชื่อของภีมภัทร ตามที่พินัยกรรมระบุไว้เนื่องจากเงินที่ใช้ปลูกบ้านหลังนี้เป็นทรัพย์สินซึ่งคุณภัทราได้จากสามีคนเดิมที่เสียชีวิตไปตั้งแต่ภีมภัทรยังเด็ก แต่กระนั้นเขาก็ทำเหมือนกับไม่ใช่บ้านของเขา เพราะกลับมาค้างแทบจะนับครั้งได้
เท้าเล็กๆ ก้าวตรงเข้าไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อไปทักทายพ่อแม่เช่นเดียวกับทุกวัน ตอนนี้อันดามันเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้าน เพราะอธิสน้องชายอีกคนของเธอกำลังเรียนระดับไฮสคูลอยู่ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งคนที่ออกทุนให้เรียนก็เป็นภีมภัทรอีกเช่นเคย ดูเหมือนว่าอะไรๆ ในบ้านหลังนี้ก็ต้องพึ่งพาเขาไปเสียหมด แม้เขาจะได้อยู่ที่นี่แล้วแต่ค่าใช้จ่ายทุกอย่างภีมภัทรก็ยังเป็นคนดูแลเช่นเดิม ลำพังแค่เงินเดือนของบิดาคงไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในบ้านหลังใหญ่หลังนี้แน่ๆ เพราะไหนจะค่ากินอยู่ ค่าจ้างคนรับใช้ คนสวน คนขับรถ และอะไรต่อมิอะไรจิปาถะนั่นอีก
อันดามันพยายามปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้มเป็นปกติขณะก้าวเข้าไปในห้องนั่งเล่น แม้ว่าความรู้สึกภายในใจจะขุ่นมัวมากมายแค่ไหนก็ตาม ขณะนั้นบิดามารดาของเธอไม่ได้อยู่ตามลำพังแต่มีป้าช้อยนั่งอยู่ด้วย หญิงวัยห้าสิบคนนี้เป็นคนสนิทของคุณภัทราและเป็นเก่าคนแก่ของบ้าน เคยเลี้ยงอันดามันมาตั้งแต่เธอยังแบเบาะ หญิงสาวจึงนับถือป้าช้อยเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง
สองมือเล็กยกขึ้นไหว้บิดามารดาของตน และไม่ลืมจะไหว้ป้าช้อยพร้อมกับเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริงแบบฝืนๆ
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ คุณแม่ ป้าช้อย มิ้มกลับมาแล้วค่ะ”
“เป็นไงคะคุณหนู เห็นคุณอารยาบอกว่าวันนี้คุณภีมไปสอนที่มหาวิทยาลัยของคุณหนู คุณภีมสอนดีหรือเปล่าคะ”
อันดามันไม่แปลกใจที่ป้าช้อยจะถามและบอกว่ารู้เรื่องภีมภัทรมาจากอารยา นอกจากอารยาแม่ของเธอจะทำหน้าที่เป็นภรรยาและแม่ของลูกๆ แล้ว แม่ของเธอยังเป็นพี่สะใภ้ที่ดีมาก มักจะรู้ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของน้องชายทั้งสองของสามีอยู่เสมอ เพราะทั้งรักทั้งเอ็นดูทั้งคู่เหมือนเป็นดั่งว่าทั้งภีมภัทรและจอมทัพเป็นน้องชายของตัวเอง
เรียวปากอิ่มเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ยังไม่อยากพูดอะไรเกี่ยวกับภีมภัทรตอนนี้เลยแม้แต่นิด เพราะยังเคืองแค้นเขาอยู่ไม่จาง แต่เห็นสีหน้าของป้าช้อยแล้วก็จำต้องตอบ เพราะไม่อยากให้นางรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ
“ก็ดีค่ะป้า เห็นใครๆ ก็ตั้งใจเรียนและชอบอาจารย์ภีมภัทรทั้งนั้น” ยกเว้นเธอกับเอกวุธที่โดนเขาดุกลางห้อง
“ก็อาภีมของคุณหนูทั้งหล่อทั้งเก่ง นี่คงจะเป็นขวัญใจของสาวๆ นักศึกษาไปแล้วล่ะค่ะป้าว่า”
“ไม่ใช่อาภีมของมิ้มเสียหน่อยค่ะ มิ้มก็แค่หลานกำมะลอ” อันดามันเผลอทำเสียงแข็ง
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะลูก ถึงอาภีมจะไม่ใช่อาแท้ๆ ของมิ้ม แต่อาภีมก็ขึ้นชื่อว่าเป็นอาของหนูนะ” คุณอารยาอดที่จะเอ็ดลูกสาวไม่ได้
“มันอดไม่ได้นี่คะคุณแม่ บุญคุณก็ส่วนบุญคุณ แต่เรื่องความนับถือก็ต่างหาก”
“ชักจะเอาใหญ่แล้วลูกคนนี้ ดูสิคะคุณ”
ประโยคหลังหันไปทางผู้เป็นสามีเพื่อต้องการให้กำราบลูกสาว เนื่องจากไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าทำไมอันดามันถึงได้พูดจาถึงภีมภัทรแบบแข็งกระด้างเช่นนั้น
“โกรธอะไรอาภีมหรือเปล่ายัยหนู ทำไมพูดไม่น่ารักแบบนั้น”
ปณิธานถามลูกสาวตรงๆ ทำให้อันดามันต้องตอบเสียงอุบอิบเพราะไม่อยากถูกซักไซ้ เธอจะตอบบิดาได้อย่างไรว่าภีมภัทรทำอะไรกับเธอบ้าง เธอถึงได้โกรธและเกลียดเขาเช่นนี้
“เปล่าค่ะคุณพ่อ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะลูก เย็นนี้อาภีมกับอาภูจะมาทานข้าวที่บ้าน”
สิ่งที่มารดาบอก ทำเอาคนที่ทำท่าเนือยๆ ถึงกับเกร็งไปชั่วขณะ ไม่นะ...เธอยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับคนร้ายกาจอย่างภีมภัทรในตอนนี้
“เย็นนี้มิ้มขอตัวนะคะ”
“ทำไมล่ะลูก นานๆ อาภีมกับอาภูจะกลับมาทานข้าวที่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตากัน”
“คือมิ้มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวน่ะค่ะ อีกอย่างใกล้สอบแล้ว มิ้มว่าจะอ่านหนังสือ ยังไงก็ฝากความคิดถึงถึงอาภูด้วยนะคะ”
อันดามันฝากความคิดถึงหาจอมทัพซึ่งเป็นอาแท้ๆ ของเธอเพียงคนเดียว ส่วนอากำมะลอแสนร้ายกาจอีกคนเธอเลือกที่จะไม่เอ่ยถึง หลังจากนั้นร่างอรชรก็สะพายกระเป๋าและหอบหนังสือขึ้นห้องตัวเอง เก็บตัวอยู่แต่ในนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงรถสองคันแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นรถของภีมภัทรกับจอมทัพนั่นเอง
ร่างอรชรนั่งอยู่บนปลายเตียง พยายามจะไม่สนใจการมาของภีมภัทร แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองยามเมื่อภาพตอนที่ถูกเขาปล้นจูบผุดพรายขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำอีก เธอทั้งโกรธ ทั้งเจ็บใจ และเสียใจระคนกัน แต่ความรู้สึกที่ไม่น่าเกิดขึ้นอีกความรู้สึกหนึ่งก็คือ อาการซาบซ่านแปลกๆ ที่ยากจะสลัดทิ้ง โดยเฉพาะตอนที่ปากร้อนๆ ของเขาโลมเล้าอยู่บนเต้าทรวงทั้งสองข้างของตน มันพานทำให้นึกถึงเรื่องที่พยายามจะลืมมาตลอดสองปี
อันดามันสะบัดศีรษะเพื่อสลัดภาพนั้นทิ้ง ก่อนจะลุกไปอาบน้ำ เปลี่ยนชุดเป็นชุดนอน ซุกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มอุ่นๆ ทั้งที่เพิ่งจะหัวค่ำ โดยไม่ลืมที่จะหยิบหนังสือมาอ่านเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่าน ความนุ่มของเตียงบวกกับความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศเป็นยาขับกล่อมชั้นดี ไม่นานตาคู่สวยก็ปรือปรอยลงและเผลอหลับไปในที่สุด