บทที่ 2 เปลี่ยนไป (2/2)
ถ้าจะถามว่าเขาเดินมาถึงจุดที่มีครบทุกอย่างได้ยังไง ก็ต้องบอกเลยว่าเชอร์เบลเมื่อสิบปีที่แล้วคือแรงผลักดันที่ทำให้เขาก้าวหาความสำเร็จอย่างไม่ย่อท้อ เขาเรียนรู้ที่จะทำทุกอย่างเพื่อหาเงิน ความสำเร็จแรกที่เขาได้มาคือธุรกิจสีขาวที่เขาบรรจงสร้างมันมาเองด้วยสมองและสองมือตั้งแต่ต้นจนร่ำรวยมหาศาล
ความสำเร็จสิ่งที่สองคือการได้รู้จักเจ้าของคาสิโน คุณตาที่เป็นเจ้าของเดิมเคยจ้างให้เขาไปสอนพิเศษให้กับหลานชาย เขาจึงมีโอกาสได้เห็นหลายชีวิตภายในคาสิโน และสิ่งที่เขามักจะได้เห็นคือความล่มจมของพวกคนรวยที่เอาเงินมาทิ้งเพราะความโลภอย่างคนโง่เขา ติดพนันจนสิ้นเนื้อประดาตัวหลายต่อหลายคน
และนั่นทำให้ฟลินท์หลงรักคาสิโนตั้งแต่นั้นมา เขาไม่ใช่ผู้เล่นแต่เขาเป็นผู้ควบคุมเกม โดยมีคนเล่นเป็นหมากในกระดาน เขามีแต่ได้กับได้ ประจวบเหมาะกับการที่คุณตาอยากจะรามือออกจากวงการนี้ในบั้นปลายชีวิตพอดีจึงได้ขายทอดกิจการนี้ให้กับเขา
ความฉลาดและคิดไกลทำให้เขาบริหารคาสิโนจนเติบโตและขึ้นสู่คาสิโนอันดับหนึ่งของประเทศภายในระยะเวลาไม่กี่ปี ความแสนดีก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปจนนิ่งขรึม น่าเกรงขาม ไม่ใช่ฟลินท์คนเดิมที่เคยถูกตราหน้าว่าไม่มีอะไรดีอีกต่อไป
“คุณฟลินท์ครับ ดูเหมือนว่าลูกสาวคุณกีรติจะมาแล้วนะครับ” บอดี้การ์ดคนสนิทเดินเข้ามารายงานตามที่เขาได้สั่งเอาไว้
“โอเค เดี๋ยวผมไปพบคุณลุงเอง”
ฟลินท์ลุกขึ้นขยับกายก่อนจะพาร่างกายสูงโปร่งกำยำ ไปยังห้องรับรองแขกวีไอพี เขาหยุดยืนชะงักอยู่ด้านหน้าเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ โวยวายของคุณหนูจอมหยิ่ง ก่อนที่เขาจะเปิดประตูเข้าไปโดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจากคนด้านใน
ภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏสู่สายตาของเขา ทำให้เขารู้สึกส่ะใจอยู่ไม่น้อย สภาพของคุณหนูเชอร์เบลจอมหยิ่งในตอนนี้นั่งร่ำไห้อยู่บนพื้น
จนแทบดูไม่ได้ ใบหน้าที่เคยสวยสดงดงามตามแบบในรูปเปรอะเปื้อนราวกับลิงแต่งหน้า นั่นทำให้เขาเดินผ่านไปโดยที่ไม่ได้สนใจคนบนพื้นสักเท่าไหร่
“พะ…พี่ฟลินท์”
เชอร์เบลแหงนใบหน้าได้รูปจ้องมองเขาด้วยความตกใจ นัยน์ตาที่เย่อหยิ่งสั่นวูบไหวไปด้วยความกลัวไม่น้อย เมื่อเขาจับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอเช่นเดียวกัน
หลังจากที่คุณกีรติพ่อของเธอออกจากห้องไป พร้อมกับฝากฝังเธอเอาไว้กับเขาอย่างมั่นเหมาะ ก็ได้เวลาที่เขาจะปราบพยศความหยิ่งและชำระแค้นที่สั่งสมมานานกับเธอสักที
"หึ เสนอหน้ามาถึงที่ อย่ามาโทษว่าฉันร้ายก็แล้วกัน!"
“พี่ฟลินท์ พี่พูดอะไรคะ มะ...หมายความว่ายังไงกัน”
เชอร์เบลถามเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ความมั่นของเธอในตอนนี้แทบจะเลือนหายไม่เหมือนเมื่อสิบปีที่แล้วเลยสักนิด
“อย่าโง่ไปหน่อยเลย เชอร์เบล!”
“พี่ฟลินท์ พี่เปลี่ยนไป เชอร์เบลกลัว” เธอหลบสายตาเขา
หมับ
“โอ๊ย เชอร์เบลเจ็บนะ เอามือออกไปจากหน้าเชอร์เบล”
ฝ่ามือหนาบีบเข้าที่ปลายคางเรียวของเธอจนเจ็บสะท้าน ก่อนที่เขาจะใช้มือเชิดใบหน้าของเธอขึ้นเพื่อให้สบสายตาที่ดุดันของเขา
“อย่ามาทำมารยา ความมั่นหายไปไหนหมดแล้วล่ะ”
เชอร์เบลรู้ดีอยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ฟลินท์หมายถึงคืออะไร แต่เธอก็ยังคงเสแสร้งแกล้งลืมอดีตไป ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่เธอทำในวันนั้นแปรเปลี่ยนเขาไปได้มากขนาดนี้
“พี่เปลี่ยนไปเพราะเชอร์เบลเหรอคะ” เชอร์เบลนะเชอร์เบลไปเอาความมั่นมาจากไหนถึงได้กล้าพูดแบบนั้นออกไป
“เธอมั่นหน้าเกินไปแล้วมั้งเชอร์เบล คนอย่างเธอไม่ได้มีค่าพอให้ฉันต้องเปลี่ยน จำเอาไว้!”
ฟลินท์รู้สึกโกรธจัดเมื่อเห็นว่าเชอร์เบลมีสีหน้าที่มั่นอกมั่นใจเสียเต็มประดาว่าเขาเปลี่ยนไปเพราะเธอ
โอ๊ย
เขาสะบัดมือออกจากใบหน้าได้รูปอย่างแรง จนเธอหน้าหันด้วยความเจ็บสะท้าน ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นและเดินออกจากห้องรับรองด้วยอารมณ์ที่หุนหันในสิ่งที่เธอจี้ปมของเขา
“ตามฉันมา”
“ไปไหนคะ” เธอเอ่ยถามขึ้นเมื่อฟลินท์หันมาบอกให้เธอตามเขาไป
“นรก” ฟลินท์บอกเธอด้วยเสียงเข้ม
“อะไรนะคะ!” เธอตกใจจนเผลอตะโกนด้วยเสียงดัง
“คนอย่างเธอ คงไม่มีที่ไหนเหมาะกว่านรกแล้วล่ะ”
“ไม่ ฉันจะกลับบ้าน พี่ปล่อยเชอร์เบลไปนะคะ” เธอทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอีกครั้งด้วยท่าทางที่ต่อต้าน ทำไมเธอต้องยอมทำตามที่เขาว่าในเมื่อพ่อของเธอเป็นคนติดหนี้ไม่ใช่เธอเสียหน่อย
“พ่อเธอเอาเธอมาขัดดอกไว้กับฉัน เธอคิดว่าฉันควรปล่อยเธอไปเหรอยัยโง่”
กรี้ดดดดดด
“หุบปาก! ถ้าเธอไม่หุบปากคืนนี้ฉันจะให้เธอนอนในห้องรวมของบอดี้การ์ดฉัน”
กรี้ดดดดดด
“ปล่อยนะ!”
ฟลินท์เดินกลับมาช้อนร่างของเธอขึ้นพาดบ่า ก่อนที่เขาจะพาเดินออกไปท่ามกลางผู้คนที่ได้แต่หันมามองเธอเป็นสายตาเดียวพร้อมกับเสียงที่สงบลงเพราะความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
“อย่าท้าทายฉัน! เธอไม่ได้เป็นเชอร์เบลที่เคยน่ารักในสายตาของฉันจำเอาไว้ ยัยน่าเกลียด”
คำขู่ของเขาทำให้เธอจำยอมสงบปากสงบคำ ก่อนจะปล่อยให้เขาแบกร่างของเธอไปอย่างว่าง่าย ‘เอาว่ะ ยอมไปก่อน เดี๋ยวค่อยหาทางหนี’
ฟลินท์ที่เธอเคยรู้จักนอกจากนิสัยจะเปลี่ยนไปแล้ว เธอยังรู้สึกว่าเขาฝีปากกล้าและจิกกัดเก่งขึ้นมาก มากเสียจนเธอไม่กล้าต่อต้านได้เลยสักนิด