7. รับผิดชอบ
เสิ่นอวี้ขบกรามแน่นเมื่อรู้ว่ากำลังจะเกิดสิ่งใดขึ้น แต่อย่างไรล่ะในเมื่อทุกอย่างยามนี้เขาทำสิ่งใดมิได้แล้ว จำต้องคล้อยตามไปแต่โดยดี
“เสร็จแล้วขอรับ ป่านนี้เจ้าสาวคงรอใต้เท้าไปรับอย่างตื่นเต้นเป็นแน่ เห็นว่านางงดงามมาก ใต้เท้าช่างตาถึงเสียจริง ข้าน้อยเองคงต้องออกต่างเมืองบ้างแล้ว”
ช่างตัดเย็บอาภรณ์ซึ่งรับหน้าที่มาแต่งกายให้เจ้าบ่าว เพราะชุดที่เอามาอาจจะมิพอดีตัว เอ่ยขึ้นราวกับคำล่ำลือที่ว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง ทั้งที่เขายังมิเคยเห็นหน้าว่าที่ฮูหยินเลยแม้แต่น้อย
เสิ่นอวี้ยกยิ้มเพราะเขารู้ดีว่าคำพูดของใต้เท้าผู้นี้เอ่ยมามิเกินจริง เพราะจิวซูนั้นงดงามดั่งว่ามิผิดเพี้ยน แต่นางไปที่ใดถึงมีผู้คนพบเห็นจนเอาไปล่ำลือได้เช่นนี้
นั่นต่างหากที่ทำให้เขาหงุดหงิด
มิใช่ว่าหวงหรือห่วง แต่เกรงว่าคนที่รู้จักนางจะมาพบเข้า อาจทำให้นางถูกนำตัวกลับไปก็ได้ เป็นเช่นนี้แล้วเขาก็ต้องหาสตรีคนใหม่มาทำตำแหน่งแทน แต่เมื่อนึกถึงความน่ารักบนเตียงเสิ่นอวี้ก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา จนเกิดไม่พอใจขึ้นมาดื้อๆ
“นางมิได้งามถึงเพียงนั้นหรอกใต้เท้า ก็เพียงแค่หญิงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น เสร็จแล้วก็หลีกทางเถอะ”
เสียงห้วนดังขึ้นก่อนจะดันร่างสูงที่ยืนประกบออกห่าง เขาเดินออกจากห้องด้วยท่าทางสง่าเช่นเดิม อาภรณ์สีแดงเข้มทำให้บุรุษรูปงามผู้นี้น่ามองมากกว่าเดิม
ผมนั้นถูกม้วนเกล้าขึ้นด้านบน และยังมีกรอบครอบสีทองพร้อมด้วยปิ่นมังกรปักเอาไว้ จมูกโด่ง ริมฝีปากหนาได้รูป และนัยน์ตาคมดุจเหยี่ยว ทำให้โครงหน้านี้ดูเด่นจนแขกเหรื่อต่างก็ชื่นชม เสื้อคลุมปักลายมังกรด้านหลังทำให้เขาดูน่าเกรงขามและโดดเด่นเป็นที่สุด
“ดูสินายน้อยช่างรูปงามเสียจริง จิวซูช่างโชคดีเหลือเกิน ทำไมถึงไม่เป็นข้านะ”
“ไยเจ้าถึงเอ่ยเช่นนี้ ยามนี้นางมิใช่สาวใช้เช่นเรา ลืมแล้วหรือว่านั่นคือฮูหยินน้อยนะ เจ้าอยากถูกโบยหรือ”
“หึ! ข้ามิยอมรับนางหรอก ใครๆ ในจวนต่างก็รู้ว่าคุณชายมิได้มีใจรักนางแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นจะรุนแรงกับนางหรือ คนรักกันที่ใดทำได้ลงคอ”
“แต่ถึงอย่างไรยามนี้นางก็ได้แต่งงานกับนายน้อย ส่วนเจ้าก็ยังคงได้แต่ชะเง้อคอยาวมิใช่หรือ”
สหายบ่าวเอ่ยจบก็เดินผละหนีคนขี้อิจฉา ทำให้คนที่ถูกตำหนิจำต้องเดินก้มหน้าเข้าไปช่วยต้อนรับแขกเหรื่อที่มาด้วยความจำใจ
ภายในห้องของจิวซู ยามนี้คนตัวเล็กกำลังนั่งกำมือตนแน่น เพราะอดตื่นเต้นกับเสียงที่ดังขึ้นด้านนอกมิได้ จนถงเหยาต้องลูบมือปลอบใจเพราะอดเอ็นดูมิได้
“ตื่นเต้นหรืออย่ากลัวไปเลยนะ พิธีมิได้จัดใหญ่โตอันใด แขกก็มิได้มีมากอย่างที่คิดหรอก”
“ก็มันตื่นเต้นนี่หน่าพี่ถงเหยา ข้ามิคิดว่าจะมีวันนี้”
“นั่นสินะ เจ้าเองเป็นใครมาจากที่ใดก็ยังมิรู้ วันแต่งงานควรจะมีพ่อแม่ส่งตัว แต่เจ้ากลับมิมีผู้ใดเลย”
ถงเหยาเอ่ยเสียงเศร้า ทำให้จิวซูนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะก่อนนี้นางมัวแต่คิดว่าตนเองคงมิสามารถตามหาคนรู้จักได้ เพราะผ่านมาถึงครึ่งเดือนแล้วที่มาอาศัยอยู่ที่นี่ กลับมิมีข่าวคราวอันใดเลย ที่นิ่งนอนใจเพียงนี้ก็เพราะคำโป้ปดของเสิ่นอวี้ที่เอ่ยกับนางไว้ว่า บิดามารดานางเสียไปนานแล้ว เขาถึงได้รับนางมาอยู่ด้วยเช่นนี้
แต่อย่างไรจิวซูก็อยากพบใครสักคนที่รู้จักตน เผื่ออย่างน้อยจะได้กลับไปไหว้หลุมศพพ่อแม่ได้ ซึ่งก่อนนี้เสิ่นอวี้ก็โป้ปดนางไว้อีกนั่นแหละ ก่อนที่เขาจะจับกินในคืนนั้น นายน้อยของจวนบอกว่าเมืองที่นางอาศัยอยู่นั้นไกลมาก
ยามนี้เขายุ่งวุ่นวายกับคดีที่เกิดขึ้น จนมิอาจพากลับไปได้จึงจำต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน ความไร้เดียงสาของสตรีตัวน้อยอ่อนต่อโลกจนเกินไป จึงมิอาจทันเล่ห์เหลี่ยมอีกฝ่ายที่ชำนาญและเฉลียวฉลาด
“ท่านพ่อท่านแม่คงมองอยู่บนสวรรค์ พี่ถงเหยาอย่ากังวลเลยนะ อย่างไรคนที่นี่ก็ดีกับข้า และยังมีพี่อีกคน”
จิวซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีแดง ใบหน้าหวานงดงามราวภาพวาด ถูกปิดบังเอาไว้เช่นเจ้าสาวทั่วไป และเพียงมินานประตูก็ถูกเปิดออก
“เจ้าสาวข้าพร้อมหรือยัง ไปกันเถอะฮูหยิน”
เสียงทุ้มดังขึ้นราวกับว่าถ้อยคำนี้กลั่นออกมาจากใจ แต่มันก็เพียงการแสดงเพื่อให้สตรีตัวน้อยตายใจเท่านั้น หลังจบงานนี้เขาคงต้องจัดการกับนางให้สมกับความต้องการเสียหน่อย เพราะเสิ่นอวี้เข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเป็นเพราะนางร้องขอให้จัด
เพราะบิดาของเขาถือเอาเรื่องความถูกต้องมาเป็นที่หนึ่ง คราแรกเขาคิดจะแต่งนางเป็นเพียงอนุเท่านั้น เอาไว้รองรับอารมณ์ยามที่อยากปลดปล่อย แต่ก็นั่นแหละเรื่องทั้งหมดเป็นเขาเองที่เริ่ม ถึงจะแต่งเป็นฮูหยินก็ใช่ว่าเขาจะปลดนางมิได้เสียเมื่อไหร่
“ไปเถอะเจ้าคะ นายน้อยมารับแล้ว”
ถงเหยาจูงมือเจ้าสาวส่งให้ผู้เป็นนายรับช่วงต่อ ก่อนทั้งคู่จะพากันเดินออกไปจากห้อง มือใหญ่ของคนโตกว่ารับรู้ได้ทันทีว่าคนตัวเล็กนั้นตื่นเต้นเพียงใด เพราะยามนี้มือนางเย็นเฉียบทั้งที่อากาศนั้นอบอุ่นพอดี
“แค่งานพิธีมิต้องกังวลไป ยังมีเรื่องหนักกว่านี้รอเจ้าทั้งคืนฮูหยินของข้า”
ร่างเล็กชะงักเท้าทันทีเพราะเกิดประหม่าขึ้นมาเสียดื้อๆ แต่ก็ต้องเดินต่อเพราะแรงดึงของคนโตกว่า จึงจำต้องเข้างานทั้งที่หัวใจกำลังเต้นรัวจนแทบจะทะลุออกมา
“มากันแล้ว เริ่มพิธีได้เลยแม่สื่อ”
เมื่อบ่าวสาวยืนคู่กัน ทุกอย่างก็เงียบสงบลง
“บ่าวสาวเริ่มทำพิธีได้”
1. คำนับฟ้าดิน
2. คำนับบิดามารดา
3. บ่าวสาวคำนับกัน
เมื่อถึงขั้นตอนนี้คนที่เกิดรังเลกลับเป็นเจ้าสาว เพราะจู่ๆ ก็เกิดปวดหัวขึ้นมา จนเกือบจะล้มลงกลางงาน แต่ดีที่เสิ่นอวี้นั้นมือไวจึงคว้าเอวไว้ได้ทัน ทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกมิรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าน้อยรู้สึกปวดหัวกระทันหัน”
จิวซูเอ่ยเสียงสั่น หากแต่ภายใต้ผ้าคลุมนั้นกลับมีโลหิตไหลออกมาจากจมูก จนนางต้องรีบยกมือขึ้นเช็ดด้วยความรีบร้อน และนั่นก็มิอาจพ้นสายตาของใต้เท้าหนุ่ม เขาจึงจับไหล่ของนางให้ยืนหันหน้ามา
“รีบทำพิธีให้จบเจ้าจะได้ไปพัก”
เสิ่นอวี้เอ่ยจบก็หันไปหาแม่สื่อ เพื่อจะได้ทำพิธีต่อ
“บ่าวสาวคำนับกัน”
จิวซูพยายามก้มหัวให้อีกฝ่าย ก่อนที่จะรู้สึกวูบอีกครั้ง แต่คราวนี้นางกลับอยู่บนอ้อมกอดของเจ้าบ่าวไปแล้ว
“ดูท่าเจ้าสาวของข้าจะตื่นเต้นมากไป เมื่อคืนนางคงนอนน้อย สักครู่ข้าจะออกมาดื่มกับพวกท่าน ยามนี้ขอเอาฮูหยินนน้อยไปพักเสียก่อน เดี๋ยวคืนนี้จะมิมีแรงสู้ข้า”
เสิ่นอวี้เอ่ยถ้อยคำหยอกเล่นกับแขกเหรื่อที่มา เพื่อมิให้เกิดความสงสัยในภายหลัง เขาอุ้มนางกลับไปยังเรือนหอ โดยมีสายตาของใครบางคนที่ปะปนมาร่วมงานมองอยู่
“นายท่านใต้เท้าเสิ่นแต่งงานทั้งทีไยก่อนหน้านี้ถึงมิประกาศอันใดเลย หากเรามิได้รับเชิญจากท่านราชครูคงมิได้มาเห็นด้วยตาเช่นนี้”
“คงเพราะงานราชการเร่งด่วนกระมัง”
“เร่งด่วนอย่างไรก็มิควรรีบเร่งถึงเพียงนี้นะขอรับ ทำราวกับสตรีผู้นี้มิมีครอบครัวเช่นนั้น”
“กวนถง หากเจ้าอยากรู้ก็ลองไปสอบถามดูสิ ได้ความว่าเช่นไรก็มาบอกข้าด้วย”
ฟานเสียนเอ่ยกับคนของตน ก่อนจะผละไปหาราชครูจางที่กำลังเดินมา
“ขอบคุณศิษย์น้องที่มาร่วมงานแต่งบุตรชายข้า”
“ศิษย์พี่อย่าได้เกรงใจ ข้าผ่านมาที่เมืองหลวงพอดี”
“มีเหตุอันใดให้เจ้าต้องมาที่นี่เช่นนั้นหรือ ข้าคิดว่าเจ้ายังทำหน้าที่ให้นายท่านอยู่เสียอีก”
สองสหายต่างรุ่นซึ่งเป็นศิษย์สำนักเดียวกันเอ่ยถาม เมื่ออยู่กันตามลำพังในสวน ซึ่งมีคนของทั้งคู่คอยเฝ้ามิให้ผู้ใดเข้ามาใกล้
“ผู้ที่ข้าดูแลหายตัวไป ยามนี้เรากำลังออกตามหา”
“จริงหรือ เช่นนี้นายท่านคงเป็นกังวลแย่”
“ข้าใคร่อยากขอให้ท่านช่วย ทูนฝ่าบาทเรื่องนี้ที”
“มิต้องห่วงวันพรุ่งข้าจะรีบกราบทูนทันที ว่าแต่คนผู้นั้นเป็นหญิงหรือชาย อายุเท่าใดข้าจะสั่งคนช่วยตามหา”
“ยามนี้อายุสิบหกปี และเป็น สะ”
“ท่านพ่อมาอยู่ตรงนี้เอง ใต้เท้าเหลียนจะคุยกับท่าน เห็นว่ามีธุระสำคัญเกี่ยวกับพระหัตถ์ของฝ่าบาท แล้วคนผู้นี้ใครกันหรือขอรับ ลูกมิคุ้นหน้าเลย”
เสิ่นอวี้เดินพรวดพลาดเข้ามาโดยมิได้ใส่ใจว่าบิดากำลังคุยเรื่องสำคัญอยู่ เพราะยามนี้สุราเข้าปากแล้วเขาก็มักจะควบคุมตนเองมิได้ แม้จะดื่มไม่มากก็เถอะ แต่เพราะปกติเขามิค่อยดื่มก็เลยเมาง่ายเช่นนี้
“อย่าเสียมารยาท นี่สหายพ่อท่านอาลู่ฟานเสียน”
“คา รา วะ ท่านอาลู่” เสิ่นอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงลากยาว เพราะยามนี้แม้จะยืนก็ยังมิอยู่เลย แผนการจะจัดการกับคนตัวเล็กคงต้องพับไว้แน่
“เจ้านี่ช่างเหลือเกินจริงๆ ทั้งที่เป็นวันแต่งงานแท้ๆ ขอโทษด้วยนะฟานเสียน บุตรชายข้าถ้าเรื่องทำงานก็เป็นที่หนึ่งมิแพ้ผู้ใด แต่ยามอยู่เรือนกลับกลายเป็นอีกคน”
“ข้ามิถือสาหรอกศิษย์พี่ คนหนุ่มก็เช่นนี้มีความสุขยามอยู่ในเรือนตนก็มิเห็นแปลก อย่างไรเสียเขาก็ทำหน้าที่ในฐานะใต้เท้าได้ดีมิขาดตกบกพร่องมิใช่หรือ คนที่มีความยุติธรรมมิเอนเอียงเห็นแก่ตัวเช่นนี้น่านับถือนัก”
คำเยินยอของฟานเสียนมิได้ทำให้ราชครูจางปลื้มแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าบุตรชายมิได้เพรียบพร้อมอย่างที่สหายเอ่ย และงานแต่งครานี้ที่มันเกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกก็เพราะความเห็นแก่ตัวของลูกคนนี้นี่แหละ
“ข้ามานานแล้วคงต้องกลับไปทำหน้าที่เสียที ยินดีกับศิษย์พี่ที่ได้สะใภ้สมใจ หลังจากที่รอมานาน นางคงเป็นสตรีที่โชคดีมาก นายน้อยถึงได้ยอมแต่งด้วยเช่นนี้”
ฟานเสียนยังมิลืมเอ่ยถ้อยคำเสียดแทงให้ได้ฟัง แต่ราชครูจางก็จำต้องยิ้มรับมัน ก็อีกฝ่ายมิรู้เรื่องอันใดก็ต้องเอ่ยเช่นนี้อยู่แล้ว
“ข้ากลับคิดว่าบุตรชายข้าต่างหากที่โชคดี แต่คนโง่เขลาเช่นนี้มิรู้ยามใดถึงจะเข้าใจว่าตนได้สิ่งล้ำค่าในมือแล้ว”
“ไยท่านถึงเอ่ยเช่นนี้ ทำราวกับมีเรื่องให้ต้องกังวล”
“ไม่หรอกอย่าใส่ใจเลย เฟยหยางพาเจ้านายเจ้ากลับห้องได้แล้วมิต้องพาไปที่เรือนหอเข้าใจหรือไม่ ส่งคนไปแจ้งฮูหยินน้อยให้พักผ่อนได้เลยมิต้องรอ”
เสิ่นอวี้ถูกหิ้วแขนตรงไปยังห้องนอนข้างๆ ห้องหอ ทำเอาฟานเสียนอดสงสัยมิได้ แต่ก็เป็นเรื่องภายในที่เขามิอาจเข้าไปยุ่ง จึงได้ขอตัวกลับ
“นายท่านจวนท่านราชครูนี่ดูประหลาดดีนะขอรับ”
“ข้าว่าเจ้าประหลาดมากกว่าเสียอีกกวนถง ไยถึงสงสัยมากนัก ผิดจากคนทั่วไป”
คำตำหนิของผู้เป็นนายทำเอาคนฟังถึงกับยิ้มแห้ง
“เรากลับไปที่เรือนนอกเมืองกันก่อน ได้ยินว่าคุณชายชิงหยุนได้เบาะแสบางอย่างของผู้ที่รอดชีวิตจากคนที่ตามล่าในวันนั้น ซึ่งถูกคนของคุณชายจับได้หลังจากที่พวกมันแอบตามเขาไป มินานเราคงรู้ว่าผู้ใดกันแน่ที่รอดชีวิต”
“แต่คนของเราก็มั่นใจว่านั่นคือคุณหนูนะขอรับ”
“เจ้าอย่าลืม ฟู่หรงมักเล่นพิเรนทร์สับเปลี่ยนอาภรณ์กับบ่าวรับใช้อยู่เป็นประจำ มิแน่ว่านั่นอาจจะเป็นบ่าวที่ถูกฟู่หรงจับเปลี่ยนอาภรณ์ก็ได้ หากข้ามิได้พบเห็นด้วยตาตนเอง จะมิยอมเชื่อเด็ดขาดว่านางยังมีชีวิตอยู่”
ฟานเสียนเอ่ยออกมาเช่นนั้น เพราะมิอยากรายงานข่าวที่ยังมิมีมูลความจริงให้ผู้เป็นนายรับรู้