ฮูหยินอุ่นเตียง

133.0K · จบแล้ว
หลินซี
45
บท
32.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

"ฮูหยินอุ่นเตียง" นั่นคือถ้อยคำที่สามีอันเป็นที่รักเอ่ยเรียกนางยามที่เขาได้เจอกับคนรักเก่า แต่ความเจ็บปวดที่สตรีผู้นี้ได้รับ มันกลับมิมากเท่ากับสามีของนางในวันข้างหน้า เมื่อฟูหรงจดจำทุกสิ่งอย่างได้

โรแมนติกดีไซเนอร์ผู้ชายอบอุ่นแต่งงานสายฟ้าแลบนิยายจีนโบราณองค์หญิงนิยายรักโรแมนติกจีนโบราณ18+เกิดใหม่

1. ไร้ที่มา

ฤดูวสันต์ยามนี้แม้จะเป็นช่วงพลบค่ำ แต่ก็ยังคงอบอ้าวอยู่เช่นเดิม ภายในป่าลึกกลับมีร่างเพรียวของใครบางคนแอบซุ่มอยู่ในพุ่มไม้ เพื่อหลบการตามล่าจากกลุ่มคนที่แต่งตัวเฉกเช่นทหารของทางการ

“หาตัวมันให้พบ! มิเช่นนั้นนายท่านต้องสั่งโบยพวกเจ้าแน่ ปล่อยให้คนเพียงผู้เดียวหนีรอดไปได้เช่นไร”

เสียงดุดันเต็มไปด้วยอารมณ์ดังขึ้น ยามนี้หากหาตัวคนผู้นี้มิพบต้องถูกลงโทษหนักเป็นแน่ เพราะดันเห็นผู้เป็นนายลงมือสังหารเจ้าเมืองหยาง กว่าจะรู้ว่ามีคนรอดชีวิตจากจวนนี้ก็ช้าเกินไปจนตามตัวมิเจอ

“พวกเจ้าไปดูทางนั้น ข้าจะไปทางนี้”

คนเป็นหัวหน้ายังคงสั่งการกับลูกน้องของตน

“ทำไงดีล่ะทีนี้ ดูท่าจะรอดยากเสียแล้วฟูหรง”

เสียงเล็กเอ่ยกับตนเอง แต่ก็ยังมิกล้าพาตัวออกจากตรงนี้ เพราะเกรงว่าจะพบกับคนที่ตามล่าตนโดยบังเอิญ นัยน์ตาคู่สวยเจื่อปนไว้ด้วยความเศร้า ยามนึกถึงการสังหารโหดในครอบครัวสกุลเหรินผู้เป็นลุง

“ข้าต้องมีชีวิตรอดให้ได้ มิเช่นนั้นคงมิอาจล้างมลทินและเอาผิดกับคนที่สังหารตระกูลท่านลุงได้ ข้าจะมิยอมตายเด็ดขาด คุ้มครองข้าด้วยนะท่านลุงท่านป้า”

เอ่ยจบมือเรียวก็แหวกพุ่มไม้ออกเล็กน้อย เมื่อดูแล้วว่ามิมีผู้ใดอยู่แถวนี้ นางจึงพาร่างอันเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งหลบหนีมาตลอดทั้งวัน เดินโซเซออกมาเพื่อหาน้ำดื่ม ทว่ายิ่งเดินก็ดูเหมือนจะยิ่งห่างไกลผู้คนมากขึ้น

“หึ คิดว่าตนเป็นนักผจญภัยหรืออย่างไรฟูหรง ที่นี่มิใช่ดินแดนที่เจ้าจากมาหรอกนะ ซ้ายขวามีแต่ป่า จะไปทางไหนดีล่ะคราวนี้ หิวก็หิว”

เสียงบ่นอุบอิบดังขึ้นเป็นระยะ พร้อมกับกุมท้องไปด้วย จนกระทั่งมาถึงผาแห่งหนึ่ง ซึ่งมิได้มีระดับสูงมาก แต่ก็มีสิ่งที่ทำให้คนเกิดความกระหายสนใจมิใช่น้อย เพราะเบื้องล่างเป็นแม่น้ำ นัยน์ตาสวยเปล่งประกายทันทีอย่างมีความหวัง ก่อนจะพาร่างอันอ่อนเพลียค่อยๆ ไต่ลงไป ยามนี้นางมิคิดจะหาช่องทางอื่นที่ปลอดภัยแล้ว

เพราะเหน็ดเหนื่อยเกินที่จะทนรอได้ ในเมื่อน้ำอยู่ตรงหน้า ความฉลาดเฉลียวที่เคยมีจึงมิได้นำมาใช้งานในคราวนี้ ความรีบร้อนและหิวจึงทำให้ร่างเพรียวนั้นไถลตกลงไปจนศีรษะกระแทกกับโขดหินด้านล่าง ฟูหรงจึงสลบไปในทันที ยังดีที่มิตกลงไปในน้ำ

ณ เมืองหลวงแคว้นซูเจียง ชาวเมืองกำลังทยอยกลับบ้านเรือนของตน หลังจากออกมาเดินเที่ยวก่อนหน้านี้ เพราะมีงานเทศกาลโคมไฟซึ่งจัดขึ้นทุกปี ยังคงเหลือเพียงเหล่าพ่อค้าแม่ค้าและบุรุษที่ยังคงดื่มสุราหรือคุยเล่นกันอยู่เท่านั้น แต่ก็ยังพอมีคนเดินขวักไขว่ไปมาอยู่บ้าง

แต่บนสะพานกลับมีใครบางคนยืนอยู่มิไหวติง ปล่อยให้แสงจันทร์สาดส่องกระทบเรือนร่างเพรียวราวกับคนไร้ชีวิต ผมดำสลวยปลิวไปตามแรงลมซึ่งพัดมาเป็นระยะ เฉกเช่นต้นหลิวซึ่งไหวโบกมิต่างกัน ทำให้มิมีผู้ใดมองเห็นใบหน้าจึงมิมีผู้ใดใส่ใจ

“ดูแม่นางผู้นั้นสิยืนอยู่บนสะพานนานมากแล้ว ไยถึงมิขยับไปที่ใดเลยสักนิด คงมิคิดจะกระโดดลงมาหรอกนะ”

ชายแก่ซึ่งยืนขายพุทราเชื่อมเอ่ยขึ้น หลังจากที่เขาเห็นสตรีตัวน้อยยืนอยู่ตรงนั้นนานมากแล้ว ทำเอาผู้ที่กำลังนั่งกินบะหมี่ในยามค่ำคืนต่างก็หันมองไปยังร่างเพรียวในชุดขาวเป็นตาเดียว ความสงสัยจึงเกิดขึ้นกับสายตาหลายคู่

“นั่นสิ ข้าก็เห็นว่านางยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่จันทราเริ่มสาดแสง จนคิดว่านางอาจเป็นผีที่มายืนเสียด้วยซ้ำ”

“เฒ่าแก่ท่านก็พูดเกินไป คนเดินขวักไขว่เช่นนี้จะเป็นผีไปได้อย่างไรกัน ข้าว่านางคงยืนคิดกระไรอยู่แน่”

“หรือไม่ก็คงเป็นสตรีต่างถิ่นมิมีที่ไป”

บุรุษหนุ่มหนึ่งในลูกค้าของร้านบะหมี่เอ่ยขึ้น

“เช่นนั้นเจ้าก็ลองเดินไปถามนางสิ อาจจะได้เมียในคืนนี้ก็ได้นะอาเฉิน”

“ได้ ข้าจะถามแต่มิใช่เพราะอยากได้เมียหรอกนะ แต่เพื่อไขข้อสงสัยของทุกคนนี่แหละ”

ชายหนุ่มเดินขึ้นสะพานตรงไปหาผู้ที่ยืนหลับตานิ่ง ซึ่งการกระทำเหล่านี้ก็อยู่ในสายตาของใครบางคนอยู่เช่นกัน เขาและคนสนิทนั่งอยู่หอน้ำชาริมคลองแห่งนี้ ซึ่งสะพานนั้นก็อยู่ห่างเพียงชั่วอึดใจ จึงมองเห็นการกระทำของผู้คนถนัดตา เขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าสตรีตัวน้อยนี้เป็นใคร ไยถึงยืนนิ่งราวกับท่อนไม้ก็มิปาน

“นี่แม่นาง ไยเจ้าถึงมิกลับเรือนไปเสีย เป็นสตรีออกมายืนคนเดียวเช่นนี้มิกลัวหรือ”

เสียงจากด้านข้างทำให้คนที่ถูกถามหันกลับมาช้าๆ ทำเอาอาเฉินถึงกับผงะถอยหลัง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีเลือดไหลลงมาจากหัว ทำให้บุรุษบนหอน้ำชาตื่นตระหนกไปด้วย ก่อนจะสั่งให้คนสนิทลงมาเพื่อสอบถาม

“เกิดกระไรขึ้นกับเจ้า เหตุใดถึงได้บาดเจ็บเช่นนี้”

“ข้าไม่รู้ ตื่นมาก็เป็นแบบนี้”

“เจ้ามิรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับตนเองอย่างนั้นหรือ”

บุรุษหนุ่มรูปงามเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง นัยน์ตาสวยซึ่งยามนี้ดูเหมือนจะใช้งานได้เพียงข้างเดียว เพราะอีกด้านมีเลือดเปรอะจนแห้งเกาะอยู่ นางมองผ่านเลยคนตรงหน้าไป เพราะมีใครบางคนยืนเงียบอยู่ด้านหลัง

และเขามีใบหน้าชวนหลงใหลยิ่งนัก ผมนั้นถูกม้วนเกล้าขึ้นบนหัวพร้อมเครื่องครอบสีทองและปิ่นรูปนกปักไว้ ชุดที่สวมใส่ก็ดูจะถูกตัดเย็บเป็นอย่างดี เข้ากับรูปร่างสูงและมัดกล้ามที่คับแน่นจนมองเห็นเป็นปล่องบนแขนแกร่ง

นางมองสำรวจอีกฝ่ายด้วยตาข้างเดียว ไม่บอกก็พอรู้ว่าคนตรงหน้าคงเป็นขุนนางระดับสูงผู้หนึ่ง เพราะมีคนติดตามมากกว่าห้า และยังถือกระบี่กันครบทุกคน คงมิใช่คนธรรมดาเป็นแน่

“เอาเถอะ ดูท่าเจ้าจะบาดเจ็บมากอยู่ข้าจะพาไปทำแผลเสียก่อน แล้วค่อยมาตอบข้าทีหลังถึงที่มาของเจ้า”

ห้าวเฉิงพูดขึ้นเมื่อเห็นอาการบาดเจ็บของสตรีตัวน้อย

“ข้าจำสิ่งใดมิได้ ท่านจะให้ข้าตอบอันใด”

สตรีตัวน้อยยังมิวายต่อปากกับอีกฝ่าย แม้ตนเองจะลืมตาอีกข้างไม่ขึ้นแล้ว ที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็เพราะกำลังคิดอยู่ว่าตนเองนั้นเป็นใครมาจากที่ใด ไยถึงจำสิ่งใดมิได้เลย

“หึ! จะตายอยู่แล้วยังปากเก่งอีกหรือ เป็นบุตรีเรือนใดกันข้ามิคุ้นหน้าเลยสักนิด”

“ท่านสำรวจทุกหลังคาเรือนเลยหรือถึงได้เอ่ยว่ามิคุ้นหน้าข้า ข้าเองก็มิคุ้นหน้าท่านเช่นกันนั่นแหละ”

เสียงขบขันดังขึ้นเมื่อผู้ติดตามทั้งหลายได้ยินเช่นนั้น เพราะปกติแล้วมิมีผู้ใดกล้าต่อกรกับห้าวเฉิงเลยสักคน ยกเว้นผู้เป็นนายซึ่งเดินกลับไปด้านบนหอน้ำชาแล้ว

“เจ้านี่มัน หึ! ข้ามิน่าลงมาเลยจริงๆ”

“เจ้ามิลงมาจะให้ใต้เท้ามาถามเองหรือห้าวเฉิง”

เป็นจริงดังคำสหายเอ่ย เพราะทั้งหมดได้รับคำสั่งให้ลงมาตรวจหาสาเหตุที่สตรีนางนี้บาดเจ็บ หลังจากที่ผู้เป็นนายมองเห็นจากด้านบน แต่เขาก็ยังเดินตามลงมาด้วย

“แล้วจะพานางไปรักษาที่ใด”

“ห้าวเฉิงใต้เท้าให้พาไปที่เรือน”

“จริงหรือ แต่!”

“ใต้เท้าสั่งเราก็แค่ทำตามเท่านั้นก็พอ หรือเจ้าจะกลัวสตรีตัวน้อยแค่นี้”

เฟยหยางเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปหาผู้บาดเจ็บซึ่งยังคงยืนนิ่งไม่ใส่ใจสิ่งที่พวกเขาเอ่ย

“ไปเถอะเราจะพาเจ้าไปทำแผล”

“มีอะไรให้กินหรือเปล่าข้าหิว”

“มีตามมาสิ” เฟยหยางเดินนำนางไปยังม้าที่ผูกไว้ ทั้งหมดมาถึงจวนหลังใหญ่ ซึ่งมันคงเป็นของขุนนางระดับสูงพอตัวในความคิดของสตรีตัวน้อย

“จะใหญ่ไปไหนนัก ราวกับมิใช่ของสามัญชน”

สองเท้าชะงักลงทันทีก่อนจะก้าวเข้าจวน เพราะเกรงว่าจะมิใช่แค่จวนขุนนางธรรมดา

“อะไรของเจ้าอีก มิรีบทำแผลประเดี๋ยวเลือดก็หมดตัวหรอก มิเห็นหรือว่ามันยังมิหยุดไหล เจ้าเป็นสตรีจริงหรือไยถึงมิห่วงสวยร้องโวยวายสักนิด”

“ที่นี่เรือนผู้ใดกัน” หญิงสาวถามด้วยความสงสัย

“จวนท่านราชครูจาง” ห้าวเฉิงตอบเสียงเรียบ

“จวนราชครู!! อาจารย์ของฮ่องเต้น่ะเหรอ”

“เจ้าจะเอ่ยเสียงดังทำไมกัน ที่นี่ใครก็รู้จัก”

ห้าวเฉิงเอ่ยก่อนจะลากคนตัวเล็กเข้าไปด้านใน และตรงไปยังเรือนหลังซึ่งเป็นที่พักของบ่าวรับใช้ซึ่งเป็นสตรี ก่อนจะส่งต่อให้ผู้ดูแลเอาไปรักษา

“เห้อ! ให้ข้าไปจับโจรเสียยังดีกว่าสู้กับนาง”

“ฮ่าฮ่า ข้าพึ่งเคยเห็นเจ้ากลัวสตรีเป็นคราแรก ทุกทีมีแต่วิ่งเข้าใส่มิใช่หรือห้าวเฉิง”

“พูดให้น้อยหน่อยเฟยหยาง ข้าหรือจะกลัวนาง แค่มิอยากต่อปากกับสตรีให้ต้องอับอายเท่านั้น”

สองสหายยังคงมิหยุดถกเถียงกัน จนกระทั่งผู้เป็นนายกลับเข้ามา จึงได้เข้าไปรายงานที่ห้องโถงของจวน

“ข้าน้อยส่งไปที่เรือนด้านหลังแล้วขอรับ”

“อืม” เสียงทุ้มเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินผละออกมาด้านนอก ซึ่งมีคนของเขาเดินตามมาเพื่อหารือวางแผน เรื่องจับการทุตจริตค้าเกลือที่ยังคงจับต้นตอมิได้ เขารับหน้าที่สืบเรื่องทุจริตของขุนนางอย่างลับๆ

เพราะเป็นคำสั่งของฮ่องเต้โดยตรง จางเสิ่นอวี้ บุตรชายคนโตของจวนสกุลจาง ซึ่งบิดาเขาเป็นราชครูเก่าแก่ของฮ่องเต้ถึงสองรุ่น จึงเป็นที่เคารพและนับหน้าถือตาเป็นอย่างมาก

“นายน้อยวันนี้พวกมันดูเหมือนจะรู้ตัวนะขอรับ ถึงได้มิลงมือ หรือว่าจะมีคนของทางนั้นแอบแฝงอยู่”

เฟยหยางเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นผู้เป็นนายนั่งลง

“หากเป็นเช่นนั้นเราคงต้องระวังให้มากขึ้น ยามนี้มีชาวต่างชาติเข้ามาในแผ่นดินมากจนมิอาจสอดส่องได้ทั่วถึง ยิ่งพวกแดนอาทิตย์อุทัยนั่นอีก มิรู้มาจากที่ใดกัน”

“ข้าได้ยินว่าพวกมันเดินทางมาด้วยเรือ อีกทั้งยังชำนาญการใช้ดาบเป็นอย่างมาก”

ห้าวเฉิงบอกในสิ่งที่ตนสืบรู้ เสิ่นอวี้หรี่ตาลงเพราะกำลังใช้ความคิด แต่ยังมิทันได้เอ่ยสิ่งใดกันอีกก็มีรายงานเข้ามา

“นายท่าน เจ้าเมืองเหรินหลี่ถงและครอบครัวถูกสังหารทั้งหมดเลยขอรับ ยามนี้จวนถูกไฟเผาจนวอด มิอาจตรวจสอบสิ่งใดได้เลยแม้กระทั่งรูปลักษณ์”

“กระไรนะ! ใต้เท้าเหรินยังอยู่ในช่วงถูกคุมตัวสอบสวนอยู่มิใช่หรือ แล้วจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร ข้าจะไปเมืองหยางเดี๋ยวนี้”

เสิ่นอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงคุกรุ่นไปด้วยความไม่พอใจ เพราะเรื่องนี้ตนได้รับราชโองการให้สืบสวนอยู่ แต่เหตุไฉนจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ 

# ฝากเป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะคะ ยิ่งเขียนเหมือนคนอ่านจะน้อยลงเรื่อยๆ เริ่มหมดแรงแล้วนะทุกคน