2. คนเร่ร่อน
เสิ่นอวี้ออกจากจวนในเวลาต่อมา ซึ่งได้สั่งกำชับให้ดูแลสตรีตัวน้อยนั้นให้ดี หากหายแล้วให้ส่งเข้าเรือนของเขา เป็นที่น่าแปลกใจแก่บิดามารดาที่มิเคยเห็นบุตรชายจะใส่ใจสตรีนางใดมาก่อน หากแต่ที่เป็นเช่นนี้ก็มีเพียงคนสนิทอย่างห้าวเฉิงและเฟยหยางเท่านั้นที่รู้
“ท่านพี่ไยบุตรชายเราถึงได้อยากมีบ่าวเป็นสตรีขึ้นมาได้ หรือจะถูกใจนางเข้าเจ้าคะ”
“หึ! เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ ได้ยินว่านางบาดเจ็บและเสิ่นอวี้ก็ไปพบเข้าจึงได้พากลับมารักษาที่จวน”
“จริงหรือเจ้าคะ เช่นนั้นก็มิรู้หัวนอนปลายเท้าน่ะสิ แล้วท่านพี่จะให้นางอยู่ที่จวนหรือเจ้าคะ”
“เสิ่นอวี้เป็นคนเอ่ยเองเจ้าจะว่าเช่นไรล่ะ”
ราชครูจางเอ่ยกับฮูหยินของตนพร้อมรอยยิ้ม เพราะหากสิ่งใดที่บุตรชายคนโตเอ่ย มารดามิเคยขัดเลยสักครา
ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวคือการแต่งงาน ซึ่งนางหมายหมั้นปั้นมือจะเกี่ยวดองกับสกุลหลงของเสนาซ้ายให้ได้ จึงกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากันกับเสิ่นอวี้อยู่เป็นประจำ
เรือนด้านหลังซึ่งเป็นที่พักของบ่าวรับใช้
ร่างเพรียวในอาภรณ์ขาวเปื้อนเลือดนอนนิ่งไม่ไหวติงด้วยความเหนื่อยอ่อน จนบัดนี้สายแล้วก็ยังมิมีทีท่าว่าจะตื่น แม้เมื่อคืนจะมีผู้นำชุดใหม่มาให้เปลี่ยนแล้วก็เถอะ แต่พอทำแผลทานอาหารเสร็จนางก็ล้มตัวลงนอนทั้งอย่างนั้น
“เจ้าดูสิ เป็นสตรีสกปรกเช่นนี้นายน้อยยังจะเอาไปอยู่ที่เรือนด้วยอีก ข้าล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
“นั่นสิ ดูเอาเถอะ พันผ้าจนรอบหัวเช่นนี้ผู้ใดกันที่พาทำ ราวกับคนเสียสติก็มิปาน”
บ่าวรับใช้สองนางกำลังเอ่ยถึงผู้ที่ยังคงหลับอยู่ โดยมิใส่ใจว่าจะทำให้อีกฝ่่ายตื่นแม้แต่น้อย นัยน์ตาสวยเปิดขึ้นเมื่อมีเสียงรบกวน แต่ก็มิได้เอ่ยโวยวายสิ่งใดออกมา เพราะแม้จะจำเรื่องราวเก่าๆ มิได้ แต่นางก็รู้ดีว่าตนอยู่ที่ใดในตอนนี้ จึงต้องเจียมตัวให้มาก
“เอ่อ พี่สาวข้าหิวน้ำมีให้ข้าสักจอกหรือไม่”
“ตื่นมาก็เรียกหาของกินเชียวนะ ตรงนั้นอย่างไรล่ะ”
“ขอบใจพี่สาว” หญิงสาวเอ่ยก่อนจะเดินมาเทน้ำชาดื่ม พร้อมกับสอดส่องออกไปด้านนอกซึ่งยามนี้คนงานกำลังรดน้ำต้นไม้ และเดินไปมาในสวนกันอยู่
“นายท่านที่ช่วยข้าเอาไว้อยู่ที่ใดเจ้าคะ ข้าอยากจะขอบคุณเสียหน่อย”
“หึ! คนเช่นเจ้าถือว่าโชคดีที่นายน้อยเมตตา ซ้ำยังให้อยู่รับใช้เป็นบ่าวที่เรือนหนิงฟูอีก”
เสียงเหน็บแนมดังขึ้นจากผู้มีใจริษยา แต่คนฟังกลับมิได้กระหยิ่มใจหรือสำนึกว่านั่นคือเรื่องที่ดีเลย
“ไยนายท่านถึงจะให้ข้าอยู่ที่นั่น ข้าเพียงเร่ร่อนมาเท่านั้น หาได้ต้องการเป็นบ่าวของผู้ใด”
“นี่เจ้ายังกล้าเอ่ยเช่นนี้อีกหรือ แต่งตัวก็ราวกับขอทาน ถึงจะเนื้อผ้าดูดีก็เถอะ แต่น้ำมิอาบทำตัวสกปรกเช่นนี้ ได้เป็นบ่าวในเรือนหนิงฟูก็ดีหนักหนาแล้ว”
น้ำเสียงเจือปนคำตำหนิเอ่ยออกมาโดยมิเกรงใจใบหน้างามนี้เลยสักนิด แม้อีกฝ่ายจะยังคงมีขอบตาที่บวมปูดฟกช้ำหนึ่งข้างก็เถอะ ซ้ำยังมีผ้าที่พันรอบศีรษะเอาไว้ด้วย แต่ก็ยังพอเห็นเค้าลางความงามเหลืออยู่
โชคชะตาก็ช่างโหดร้ายกับนางเสียเหลือเกิน เพราะเมื่อวานเป็นวันสุดท้ายที่นางจดจำเรื่องราวในอดีตได้ ในยามนี้จึงมีแต่ผู้คนเอ่ยวาจาดูหมิ่นราวกับมิใช่คน
“พอเถอะพวกเจ้าสองคน ออกไปได้แล้วหากมิเต็มใจจะดูแลนาง ข้าจะทำเอง นี่อาหารของเจ้ากินเสีย”
ถงเหยาวางชามข้าวลงที่โต๊ะ พร้อมกับเอ่ยปากไล่สองบ่าวที่มักจะคอยหาเรื่องผู้มาใหม่อยู่เสมอ ทำเอาอีกฝ่ายไม่พอใจจึงเดินสะบัดตามกันออกไป
“อย่าใส่ใจเลย คงอิจฉาเจ้าจะได้ไปอยู่เรือนหนิงฟูเท่านั้น กินเสียจะได้ไปอาบน้ำ เดี๋ยวข้าจะทำแผลให้”
“ขอบใจเจ้านะ ว่าแต่เหตุใดพวกนางถึงคิดเช่นนั้น”
“ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้ชิดกับบุตรชายของท่านราชครูทั้งนั้นแหละ สตรีทั่วเมืองต่างก็อยากแต่งเข้ามา”
คิ้วเรียวขมวดก่อนจะนึกขันขึ้นมากับคำบอกเล่าของคนตรงหน้า ซึ่งนางมิเห็นจะมีท่าทางเช่นดั่งที่เอ่ยเลย
“แล้วเจ้าล่ะ มิอยากไปที่นั่นด้วยหรือ”
“ปกติข้าก็ทำงานที่นั่น และยังได้รับคำสั่งให้มาคอยดูแลเจ้าด้วย ข้ามีสามีแล้วจะคิดเช่นนั้นได้เยี่ยงไร”
เหม่ยหรงกระจ่างใจในทันที จึงได้แต่ยิ้มแห้งใส่อีกฝ่าย ก่อนจะลงมือทานอาหารที่ส่งกลิ่นหอมเตะจมูกจนต้องรีบจัดการมันให้หมด ถงเหยามองสตรีตรงหน้าซึ่งดูแล้วคงอ่อนเยาว์กว่าตนมาก หน้าตาก็ดูสะสวยมิใช่น้อย เพียงแต่ยังมีร่องรอยการบาดเจ็บอยู่จึงมิมีใครสังเกต
“เจ็บมากหรือไม่ ได้ยินว่าเจ้าจำสิ่งใดมิได้เลย”
“รู้สึกปวดที่หัวและตา และก็ใช่ที่ข้าจำสิ่งใดมิได้”
“แม้แต่ชื่ออย่างนั้นหรือ”
เหม่ยหรงพยักหน้ารับ พร้อมกับก้มลงทานอาหารในชามต่อ ถงเหยามองอีกฝ่ายด้วยความสงสาร นางเป็นคนใจอ่อนและใจดี จึงเป็นที่รักของสามีอย่างเฟยหยางเป็น อย่างมาก และยังเป็นสตรีผู้เดียวที่คอยรับใช้เสิ่นอวี้ แต่ก็แค่เตรียมชุดและอ่างล้างหน้าในช่วงเช้าเท่านั้น ซึ่งจะมีคนสนิทของนายน้อยอยู่ด้วยตลอด หากมิใช่เพราะถึงเหย้าเป็นคนรักของเฟยหยางก็มิอาจเข้าห้องเขาได้
เหม่ยหรงทานเสร็จก็ตรงไปยังส่วนอาบน้ำของบ่าวเรียบร้อย ก็ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์กลับมาหาผู้ที่นั่งรออยู่ในห้อง ยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาจากผู้ที่อายุมากกว่าอย่างเอ็นดู เพราะคนตรงหน้าดูเรียบร้อยสะอาดตาขึ้นมาก ทั้งชุดที่ใส่ก็เป็นเนื้อผ้าอย่างดี มันช่วยขับผิวพรรณที่ขาวเนียนราวไข่มุกของสตรีตัวน้อยได้ดี มิแปลกใจที่ผู้เป็นนายยอมให้เข้าเรือน
“ข้าอยากล้างหัวแต่คงต้องรอให้แผลหายดีก่อน”
“ใจเย็นเถอะ มานั่งตรงนี้ข้าจะทำแผลให้”
ยิ้มหวานถูกส่งให้สตรีรุ่นพี่ ก่อนจะเดินมานั่งหันหน้าใส่อีกฝ่าย ซึ่งทำให้ถงเหยาได้สังเกตใบหน้าขาวเนียนนี้ชัดขึ้น
“เจ้าคงมิใช่แค่คนเร่ร่อนธรรมดาเป็นแน่ ผิวขาวราวไข่มุก ทั้งยังมีใบหน้าที่งดงาม แม้ตอนนี้เจ้าจะบาดเจ็บ”
“ข้าก็มิรู้ว่าตนเป็นผู้ใด พอลืมตาตื่นขึ้นก็จำสิ่งใดมิได้”
“น่าสงสารเสียจริง มาเถอะข้าทำแผลให้เจ้าก่อน เอาไว้นายน้อยกลับมาอาจจะช่วยเจ้าสืบหาที่มาให้ได้”
“เป็นเช่นนั้นก็ดีสิ ข้าหวังว่าเขาจะมิใจร้ายหรอกนะ”
ถงเหยายิ้มแห้งออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น เพราะมิมั่นใจว่าจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เพราะนายน้อยผู้นี้เย็นชาเป็นที่หนึ่ง บางคนก็เรียกบุรุษไร้ใจ
ยามที่อยู่ใกล้สตรีก็คอยแต่จะตั้งท่าหงุดหงิดเป็นประจำ แปลกก็ตรงที่รับคนตรงหน้าเข้าเรือนนี่แหละ แต่อย่างไรเสียนายน้อยก็คงมีเหตุผลจึงได้ทำเช่นนี้ เพราะเสิ่นอวี้มิเคยทำอันใดโดยมิเกิดประโยชน์
“เรื่องนั้นคงต้องรอดูอีกที” ถงเหยาเอ่ยบอกก่อนจะทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือ แล้วเปลี่ยนผ้าพันหัวให้ จึงทำเอาเหม่ยหรงดูตลกในสายตาผู้คนในจวน ยามที่ต้องเดินผ่านเพื่อไปคารวะเจ้าของจวน
“มิเป็นไรนายท่านและฮูหยินใจดี”
คนเดินตามพยักหน้า หากแต่สายตาซึ่งใช้งานได้ดีเพียงข้างเดียว ก็ยังคงมองสำรวจไปทั่วถึงความใหญ่โตและกินบริเวณกว้างของจวนแห่งนี้
“จะใหญ่ไปไหนนัก ว่าแต่หากเขาถามว่ามาจากไหน ข้าจะตอบเช่นไร จะมิถูกมองว่าสติมิดีหรือ”
คนตัวเล็กคิดในใจก่อนจะพาตนมาหยุดลงที่ห้องโถงใหญ่ของจวน ซึ่งเป็นสถานที่ด้านหน้ามันมีไว้ต้อนรับยามมีผู้มาเยือน นางชะงักเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาคมของประมุขจวน ซึ่งเป็นราชครูของราชวงค์นี้
“มาแล้วหรือ บาดเจ็บถึงเพียงนี้เชียวหรือแม่นางน้อย”
ราชครูจางรุ่ยเอ่ยถามทันทีเมื่อสตรีตรงหน้าทำการคารวะเสร็จสิ้น เขาได้ยินว่าบุตรชายนำสตีเข้ามาในจวนตั้งแต่เมื่อคืน เพราะนางบาดเจ็บ แต่มิคิดว่าจะน่าสงสารถึงเพียงนี้ ซึ่งอาการก็มิต่างจากภรรยานัก
ฮูหยินจางเดินตรงมาหาสตรีตัวน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นลูบใบหน้าของนางอย่างเอ็นดู เพราะนึกเห็นใจที่ต้องบาดเจ็บเยี่ยงนี้
“ใครกันช่างทำร้ายเจ้าได้ลงคอ”
“ข้าน้อยจำมิได้เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านราชครูและฮูหยินที่เมตตาให้ข้าน้อยรักษาตัวอยู่ที่นี่นะเจ้าคะ”
“เอาเถอะ เจ็บเช่นนี้ทั้งยังจำสิ่งใดมิได้อีก เอาไว้บุตรชายข้ากลับมาก็คงจะสืบหาต้นตอให้เจ้าเองนั่นแหละ”
ราชครูเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แม้จะอยากถามถึงที่มาที่ไป แต่ก็คงทำอันใดมิได้ในเมื่อนางเป็นเช่นนี้ หลังจากนั้นเหม่ยหรงก็ถูกพาตัวกลับมายังเรือนที่ตนต้องพักอาศัยต่อจากนี้ ซึ่งอยู่มิไกลจากเรือนใหญ่ของผู้เป็นนาย
ซึ่งอยู่แยกออกมาทางทิศเหนือของจวนและด้านหลังก็อยู่ติดกับชายป่าไผ่และต้นสนที่เรียงรายผสมกับต้นท้อและต้นไม้หลากหลายชนิด ทำให้เป็นสถานที่เงียบสงบตามนิสัยของเจ้าของ ซึ่งอันที่จริงมันขัดกับการทำงานของเสิ่นอวี้เป็นอย่างมาก เพราะเขาเป็นคนเคร่งครัดในหน้าที่
“ข้าต้องทำสิ่งใดบ้างพี่สาว”
“เรียกข้าถงเหยา มิต้องทำอันใดในยามนี้ นายน้อยมิอยู่ที่เรือน ไปงานราชการต่างเมือง มิรู้ยามใดจะกลับมา จะมีก็แค่รดน้ำต้นไม้นิดหน่อย ส่วนอื่นมิต้องมีบ่าวผู้ชายมาทำ”
“เช่นนั้นข้าก็ต้องนั่งๆ นอนๆ น่ะสิ”
“ก็ดีแล้วมิใช่หรือ จะได้พักรักษาตัวให้หายดีด้วย ส่วนเรือนพี่อยู่ทางนั้น หากเจ้ามีสิ่งใดก็ไปตามที่นั่น”
“ขอบคุณพี่มากที่ดูแลข้าอย่างดี”
“ข้าเคยมีน้องสาว แต่นางตายไปหลายปีแล้ว น่าจะอายุเท่าเจ้า มีสิ่งใดก็บอกพี่ได้ ว่าแต่อย่างไรเจ้าก็ต้องมีชื่อให้เรียก จะเรียกเช่นไรดีนะ”
“ข้าก็มิรู้ พี่ตั้งให้ข้าทีสิ” หญิงสาวเอ่ยบอกพร้อมกับทำตาประกายใส่อีกฝ่าย ทำให้ถงเหยาอดเอ็นดูมิได้
“โชคชะตาพาเจ้ามาอยู่ที่นี่ และยังมีใบหน้าที่งดงามอีก เช่นนั้นเจ้าก็ชื่อ “จิวซู” แล้วกัน จิว คือโชคชะตา ซู คือความสวยงาม โชคชะตาที่สวยงามชอบหรือไม่”
“จิวซูหรือ เพราะมากเจ้าค่ะ ข้าชอบ”
คนตัวเล็กผู้ได้ชื่อใหม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“พี่ดีใจที่เจ้าชอบ เอาเป็นว่าเจ้าใช่ชื่อนี้ก็แล้วกัน เอาล่ะพักผ่อนได้แล้ว พี่จะไปช่วยเตรียมของไหว้ในวันพรุ่งเสียก่อน เจ้าก็อย่าออกไปเดินเพ่นพ่านล่ะ”
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวหรือจิวซูในชื่อใหม่พยักหน้ารับ ก่อนจะมองตามร่างเพรียวของถงเหยาเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูเอาไว้ด้วย นัยน์ตาสวยมองไปรอบห้อง ซึ่งมันดูแตกต่างจากเรือนนอนที่ตนพักเมื่อคืนมาก จนมิน่าจะเป็นห้องของบ่าวรับใช้อย่างที่ถงเหยาบอก
“แน่ใจเหรอว่าเขาให้เราพักที่นี่ ราวกับห้องของคุณหนูก็มิปาน เตียงก็กว้างจนนอนได้สี่ห้าคน นายน้อยเสิ่นอวี้ผู้นี้เป็นคนเช่นไรกันแน่นะ ไยถึงทำดีกับเรานัก”
เสียงหวานเอ่ยออกมา เมื่อเดินมานั่งลงบนเตียงใหญ่ นางมองไปโดยรอบภายในห้องตบแต่งอย่างดี
จนทำให้นางอดที่จะสงสัยมิได้ เพราะนางก็เป็นเพียงสตรีแปลกหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ อันที่จริงนายน้อยผู้นี้ควรให้คนพาไปส่งที่โรงหมอถึงจะถูก แต่กลับพามาที่จวนด้วย
“เอาเถอะ ตอนนี้แค่รักษาตัวให้หายดีก็พอ เรื่องอื่นเอาไว้ถามทีหลังแล้วกัน มิแน่ว่าเราอาจจะจำเรื่องทุกอย่างได้ก่อนที่คนผู้นั้นจะกลับมาก็ได้ ถึงยามนั้นข้าคงได้กลับบ้านของตนเองแล้ว”
เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงพาตัวขึ้นไปบนเตียง ก่อนจะเอนตัวหลับไปในที่สุด
# ฝากกดใจให้ไรท์ด้วยนะ ขอกำลังใจสักดวง