บท
ตั้งค่า

3. เผชิญหน้า

จางเสิ่นอวี้ หัวหน้าหน่วยตรวจการซึ่งขึ้นตรงจากฮ่องเต้ เขาถือดาบมังกรแทนคำสั่งสามารถสังหารขุนนางฉ้อฉลได้ในทันที หากสืบได้และมีหลักฐานว่ากระทำความผิดจริง แต่เขาก็ยังมิเคยทำเช่นนั้นเลยสักครา

“นายท่านจวนสกุลเหรินมอดไหม้ถึงเพียงนี้ จะหาหลักฐานได้จากที่ใดกัน”

ห้าวเฉิงเอ่ยในสิ่งที่ตนคิด เพราะภาพตรงหน้านั้นมีแค่เพียงขี้เถ้าซึ่งถูกลมพัดจนกระจายไปทั่วพื้นที่

“ซากศพที่ถูกส่งไปเก็บไว้ก็มิรู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ใดเลยขอรับ เช่นนี้จะจัดการกับงานศพเช่นไร”

เฟยหยางบอกผู้เป็นนาย ซึ่งยังคงยืนนิ่งมิไหวติง นัยน์ตาคมหม่นลงเมื่อเห็นขี้เถ้าลอยขึ้นตามลม เพราะสิ่งปลูกสร้างที่เคยมีนั้นเลือนหายไปหมดแล้ว จึงทำให้ด้านในของพื้นที่จวนโล่งจนลมพัดมาเพียงน้อยก็สามารถหอบเอาฝุ่นขี้เถ้าล่องลอยขึ้น

“ปิดตายที่นี่ อย่าให้ผู้ใดเข้ามา”

“ขอรับ” เมื่อรับคำแล้วห้าวเฉิงก็ออกคำสั่ง และจัดการหาไม้มาปิดประตูด้านนอกที่มันหลงเหลือแค่ส่วนกำแพงเท่านั้น ด้านในจึงมิมีผู้ใดได้เห็น แม้ในคราแรกจะมาช่วยกันดับไฟ แต่เพราะมันถูกล็อคจากด้านใน คนในละแวกนี้จึงทำได้เพียงแค่ยืนดูเท่านั้น

เสิ่นอวี้กลับมายังเรือนรับรองขุนนาง ซึ่งอยู่มิไกลจากที่เกิดเหตุ เขาแวะไปดูศพของเจ้าเมืองเหรินก่อนแล้ว ทำให้ต้องกลับมาครุ่นคิดถึงสาเหตุการตายที่ดูเหมือนคนลงมือจะเหี้ยมโหดเสียเหลือเกิน ถึงกับจุดไฟเผาเพื่อทำลายหลักฐานเช่นนี้ คงมิใช่คนธรรมดาเป็นแน่

“ท่านทำสิ่งใดกัน ไยจึงถูกสังหารทั้งตระกูลเยี่ยงนี้”

เสียงทุ้มเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงใคร่รู้ แต่จะหาคำตอบจากเรื่องนี้คงเป็นไปได้ยาก เพราะดูเหมือนหลักฐานจะตายไปพร้อมกับใต้เท้าเหรินแล้ว เขาจึงต้องสืบหาจากคนรอบนอก และการร้องเรียนที่ถูกส่งไปเมืองหลวงก่อนหน้านี้ว่ามีส่วนเกี่ยวของกันหรือไม่

แต่จนแล้วจนรอดก็มิได้สิ่งใดเลยแม้แต่น้อย เพราะจวนเจ้าเมืองทางด้านหลังนั้นเป็นป่า เขาคิดว่าคนร้ายคงมาทางนี้เป็นแน่ มิเช่นนั้นการลงมือในช่วงกลางวัน อย่างไรก็ต้องมีผู้พบเห็น และคนผู้นั้นต้องคุ้นเคยกับที่นี่มาก

แต่สกุลเหรินนั้นได้คบค้ากับผู้คนมากหน้าหลายตา เป็นเพราะใต้เท้าเหรินคือเจ้าเมืองหยาง จึงมีคนนับถือมาก อีกทั้งที่นี่ก็เป็นเมืองศิวิไลซ์แห่งหนึ่งของแคว้น จึงมีพ่อค้ามากมายผ่านทางมา

“นายน้อยเราสืบข่าวที่นี่มาจะสิบวันแล้ว แต่ยังมิได้เรื่องอันใดเลย เห็นทีคงได้คว้าน้ำเหลวเป็นแน่”

เฟยหยางเอ่ยอย่างสินหวังมิต่างจากสหายแม้แต่น้อย

“นั่นสิ คดีปกติก็ว่ายากแล้ว แต่นี่ดันไฟไหม้จนมิเหลือสิ่งใดให้ตาม จะไปเอาความจริงกับผู้ใดได้”

“เตรียมม้าเราจะกลับเมืองหลวง เรื่องนี้อาจหาต้นตอได้ที่นั่น เพราะดูเหมือนจะมีใครบางคนในเรือนที่ยังรอดอยู่”

เสิ่นอวี้ส่งหนังสือรายชื่อให้คนสนิทดู

“คนในเรือนมียี่สิบเจ็ดคน แต่พบศพเพียงยี่สิบห้า เช่นนั้นก็เหลือรอดสองใช่หรือไม่ขอรับ”

“อืม แต่มันยากก็ตรงที่มิรู้ว่าศพนั้นเป็นใครบ้าง”

“แล้วเราจะตามสืบที่เมืองหลวงได้หรือขอรับ มิใช่คนผู้นั้นหนีตายไปที่อื่นแล้วหรือ”

“คนที่รอดอยู่น่าจะเป็นบุตรชายของใต้เท้าเหริน ซึ่งไปเปิดร้านขายผ้าอยู่ที่เมืองหลวง ข้าหวังให้เป็นเช่นนั้น”

“ที่นายท่านมิแน่ใจก็เพราะเหตุใดเขาไม่ปรากฎตัวใช่หรือไม่ขอรับ บิดามารดาเสียไปเช่นนี้แต่มิยอมมาจัดงานให้ ไม่เขาก็อาจจะอยู่ในจำนวนร่างที่ไร้วิญญาณนี้ก็ได้”

“ข้าหวังให้คุณชายเหรินยังมีชีวิตอยู่ก็แล้วกัน ยามนี้เขาอาจจะรอฟังข่าวอยู่มุมใดซักแห่งมิกล้าออกมา”

เสียงของเฟยหยางดังขึ้นในสิ่งที่ทุกคนต่างก็หวังให้เป็นเช่นนั้น ก่อนจะเตรียมตัวออกเดินทาง ซึ่งทั้งหมดได้มาถึงในเวลาพลบค่ำ หลังจากไปสืบคดีอยู่นานถึงสิบวัน

“กลับมาแล้วหรือ เป็นเช่นไรบ้างได้ยินว่าไฟไหม้จนมิอาจจำได้ว่าผู้ใดเป็นผู้ใดเลยหรือ”

“ขอรับท่านพ่อ แต่หลักฐานมิหลงเหลือให้เห็นแม้แต่น้อย ลูกคิดว่าคนลงมือคงมีไม่ต่ำกว่าสิบเป็นแน่”

“ผู้ใดกันทำเรื่องเช่นนี้ได้ ช่างโหดเหี้ยมไร้ปราณีเหลือเกิน ฆ่าได้แม้กระทั่งสตรี”

“ใต้เท้าเหรินคงรู้แผนชั่วของคนผู้นั้น จึงได้ถูกสังหารเช่นนี้ แต่ไยต้องกำจัดผู้อื่นไปด้วย”

เสิ่นอวี้ยังคงคิดมิตกเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมิเข้าใจหากใต้เท้าเหรินขัดผลประโยชน์แล้วไยมิสังหารแค่เขาผู้เดียว

แม้จะคิดหาเหตุผลมากมายเพียงใดก็มิอาจล่วงรู้ถึงสาเหตุได้ การหารือระหว่างสองพ่อลูกจึงจบลง และแยกย้ายกันเพื่อให้บุตรชายได้กลับเรือนไปชำระร่างกาย

“นายน้อยถงเหยาบอกว่าสตรีผู้นั้นอาการดีขึ้นมาก และยามนี้ก็ช่วยงานในครัวอยู่ขอรับ”

คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อคนสนิทเอ่ยถึงใครบางคน เสิ่นอวี้ลืมไปแล้วว่าตนนั้นสั่งสิ่งใดไว้ก่อนไป

“นายน้อยทำหน้าเช่นนี้จำมิได้หรือขอรับ”

เสิ่นอวี้ยังคงมองคนสนิทอย่างครุ่นคิด เพราะเขามิได้ใส่ใจเรื่องนั้นแม้แต่น้อย ยิ่งได้ทำงานด้วยแล้วเรื่องอื่นหากมิสำคัญเขาก็มิเคยเก็บมาใส่ใจ

“สตรีน้อยที่นายน้อยอนุญาตให้อยู่ในเรือนหนิงฟูอย่างไรล่ะขอรับ ไปเพียงสิบวันก็จำมิได้แล้วหรือ”

“เฟยหยาง เจ้ามิรู้จักนายน้อยหรือเรื่องสตรีจะอยู่ในหัวของนายน้อยได้อย่างไรกัน"

เสิ่นอวี้มองคนสนิทที่ยืนถกเถียงกันราวกับเป็นเรื่องใหญ่โตเหลือเกิน ก่อนจะเดินส่ายหัวตรงไปยังเรือนของตน ซึ่งบ่าวรับใช้สาวๆ ต่างก็มายืนเสนอหน้าหวังว่าจะเข้าตาผู้เป็นนายสักครั้ง แต่ก็เหมือนเช่นเคยเขามิเคยแตะต้องสตรีในจวนเลยแม้แต่คนเดียว

“เตรียมน้ำให้ข้าด้วย”

เสิ่นอวี้เอ่ยบอกถงเหยาที่เดินมาต้อนรับพอดี กาน้ำชาถูกยกขึ้นรินใส่ถ้วยเช่นทุกครา เขาเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น แต่ยังมิทันได้ก้นอุ่น เสียงเรียกของมารดาที่พึ่งกลับมาจากจวนเสนาซ้ายก็ดังขึ้น

“เจ้ากลับมาแล้วหรือเสิ่นอวี้ ดีจริงม่านชิงก็มาที่นี่ด้วยนะ เจ้ารีบอาบน้ำแต่งตัวจะได้ออกไปทานอาหารร่วมกัน”

เสิ่นอวี้มองหน้ามารดา พร้อมกับถอนหายใจออกมาเช่นทุกครา ฮูหยินจางรีบเอ่ยดักคอในทันที

“เจ้าอย่ามาทำหน้าเช่นนี้เชียว ห้ามขัดเด็ดขาด”

“ลูกมิชอบนาง ท่านแม่อย่าได้บีบบังคับลูก”

“หึ! ชอบหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า อย่างไรเสียก็ต้องแต่งงานกัน นอกจากเจ้าจะมีฮูหยินภายในสองสามวันนี้เท่านั้น แม่จึงจะมิบังคับเจ้าเรื่องนี้”

ฮูหยินจางเอ่ยลอยหน้าลอยตาใส่บุตรชาย เพราะรู้ดีว่าอย่างไรเสียเรื่องที่ตนเอ่ยก็มิมีทางเป็นไปได้แน่ แต่! นั่นเป็นเพียงความคิดของนางผู้เดียว เสิ่นอวี้รู้ดีว่ามารดาตั้งใจจะจับตนแต่งกับสกุลหลงมาหลายปีแล้ว

“เช่นนั้นอีกสองวันท่านแม่ก็เตรียมจัดงานได้เลย”

เพียงเท่านั้นผู้เป็นแม่ก็ตาโตทันที

“หมายความว่าเจ้าจะยอมแต่งกับม่านชิงใช่หรือไม่”

“แต่งขอรับแต่มิใช่กับคุณหนูสกุลหลง แต่เป็นนาง”

นิ้วเรียวชี้ไปยังสตรีตัวน้อยซึ่งยืนอยู่ข้างถงเหยา เขาพอจะมองออกว่านางเป็นใคร เพราะยังมีรอยคล้ำอยู่บนขอบตาเล็กน้อย ร่างสูงเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าจิวซู

“ตอบแทนที่ข้าช่วยเจ้า มิเช่นนั้นข้าจะขายเจ้าให้หอนางโลมเสีย เข้าใจหรือไม่”

ใบหน้าสวยจ้องมองคนโตกว่าอย่างฉงน เพราะมิเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ย นางพึ่งจะเดินเข้ามาเมื่อครู่นี้เอง แต่ยังมิทันได้เอ่ยคัดค้านอันใดเลยแม้แต่น้อย เสียงจากนายหญิงของจวนก็ดังลั่นอีกครั้ง

“เสิ่นอวี้ไยเจ้าถึงกลายเป็นคนโป้ปดมดเท็จเช่นนี้ นางจะเป็นภรรยาเจ้าได้เช่นไร ในเมื่อจิวซูบอกเองว่านางจำสิ่งใดมิได้ อีกอย่างเจ้าก็มิเคยใส่ใจสตรีใดสักครา”

“ก็เพราะนางจำมิได้ว่าเป็นภรรยาลูกนี่แหละ ถึงต้องพากลับมาด้วยเช่นนี้ท่านแม่”

เสิ่นอวี้ยังคงยืนกรานว่าคนตัวเล็กเป็นภรรยาของเขา ทำเอาคนสนิททั้งสองถึงกับหน้าถอดสี เพราะนั่นหมายถึงต้องทำการแสดงตามผู้เป็นนายไปด้วย มิต่างจากถงเหยาที่มีอาการตื่นตระหนกเมื่อได้ยินเช่นกัน

“ไม่จริง! เจ้าเพียงแต่หาข้ออ้างเท่านั้น”

ฮูหยินจางยังคงส่งเสียงตำหนิบุตรชายด้วยอารมณ์ เสิ่นอวี้ถอนหายใจเพราะมิรู้ต้องทำเช่นไรให้มารดาเชื่อ และความคิดแรกที่เข้ามาก็ทำให้เขาเริ่มมันทันที มือเรียวรั้งท้ายทอยคนตัวเล็กแหงนขึ้น นัยน์ตาสวยเบิกกว้างเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มลงมาพร้อมกับแนบริมฝีปากลง

“เสิ่นอวี้เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร มิเห็นหรือว่าบ่าวรับใช้อยู่เต็มเรือน ไร้ยางอายสิ้นดี”

ฮูหยินจางแห้วใส่บุตรทันที ก่อนจะเดินหนีไปเพราะมิอาจทนดูได้ แต่นั่นก็มิเท่ากับที่ม่านชิงก็เห็นภาพนี้ด้วย เพราะการกระทำของใต้เท้าหนุ่มอยู่หน้าประตูห้องโถงของเรือนพอดี นางตั้งใจจะเดินมาเพื่อได้พบหน้าบุรุษหนุ่มสักครั้ง หลังจากที่มิได้เจอมาเป็นเดือน

“ม่านชิงไยเจ้าจึงมิรอป้าที่ห้องโถง”

“หากข้ารอคงมิได้เห็นว่าพี่เสิ่นอวี้เลี้ยงสตรีอุ่นเตียงไว้”

เสียงจากด้านนอกยังคงดัง แต่มันกลับมิอาจหยุดสัมผัสที่ใต้เท้าหนุ่มกำลังทำได้ เขายังคงละเลียดชิมริมฝีปากอ่อนนุ่มของคนในอ้อมแขน ที่ต้องรั้งไว้มิให้นางดิ้นหนี แม้อีกฝ่ายจะพยายามเม้มปากเอาไว้ แต่ก็มิอาจทานทนต่อแรงขบเม้มที่คนโตกว่ากระทำจนได้กลิ่นคาวเลือด

นางจึงจำต้องเผยอปากออกเพื่อหลบหนี แต่กลายเป็นเข้าทางคนมากเล่ห์เสียได้ พอได้ลิ้มชิมรสความหวานละมุนของลิ้นอุ่น เสิ่นอวี้ก็ละเล็งกวาดต้อนจนคนในอ้อมกอดอ่อนแรงจนแทบยืนไม่อยู่

“พอได้แล้ว!! ไยเจ้าถึงรังแกนางเช่นนี้”

ฮูหยินจางตำหนิบุตรชายอีกครั้ง ก่อนจะเดินหนีไป โดยมิได้ใส่ใจผู้ที่ยังคงยืนมองด้วยสายตาเคียนแค้น ม่านชิงมิยอมหยุดเพียงเท่านี้ ร่างเพรียวเดินตรงมากระชากแขนเล็กให้ออกจากอ้อมแขนของเสิ่นอวี้ แต่ไหนเลยจะทำให้ร่างนั้นสะทกสะท้านได้ เพราะแขนแกร่งกอดรัดไว้แน่น

ใบหน้าหล่อเหล่าผละริมฝีปากออก ก่อนจะมองคุณหนูสกุลหลงด้วยสายตาไม่พอใจ หากคนที่มักเอาแต่ใจเช่นนางมีหรือจะกลัว อยากได้สิ่งใดก็ต้องได้

“ถอยออกมาจากพี่เสิ่นอวี้นะ เจ้ามันก็แค่สตรีอุ่นเตียง ไยถึงกล้าทำเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าผู้คน”

เสิ่นอวี้จับคนตัวเล็กขยับมายืนหลบด้านหลัง เพราะดูท่าวิญญาณจะล่องลอยออกจากร่างไปแล้วตั้งแต่ถูกเขาจูบไปเมื่อครู่

“นางมิใช่สตรีอุ่นเตียง ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าจิวซูคือภรรยาข้า ส่วนเจ้ามาทางไหนกลับไปทางนั้น”

“นางทำสิ่งใดกับพี่ ไยจึงหลงมันเช่นนี้”

“หึ! ข้าจะหลงเมียมันผิดด้วยหรือ ออกไปเสีย ก่อนที่ข้าจะให้คนโยนออกไป แล้วอย่ามาวุ่นวายกับคนของข้าอีก”

เสิ่นอวี้เอ่ยพร้อมกับจูงมือคนตัวเล็กให้เดินตาม แต่อีกฝ่ายกลับยืนนิ่ง ก่อนจะมีเสียงหวานดังแบบสั่นๆ

“ดะ เดินไม่ไหวเจ้าค่ะ ขาไม่มีแรง”

คนตัวเล็กตอบออกไปพร้อมกับยิ้มแห้งใส่คนตัวโต ซึ่งเสิ่นอวี้เองก็อดที่จะขำกับท่าทางนี้มิได้เช่นกัน จึงเป็นครั้งแรกที่ทุกคนเห็นรอยยิ้มที่มิได้เสแสร้งของเขา

“หึ! ใจเสาะเสียจริง เช่นนี้จะขึ้นเตียงกับข้าได้เช่นไร”

เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบข้างหูนาง ลมหายใจที่เขาพ่นออกมามันทำเอาสตรีตัวน้อยใจสั่นอีกแล้ว แก้มเนียนขึ้นสีเรื่อทันที ก็รู้หรอกว่าทุกอย่างมันคือแผน แต่อยู่ใกล้บุรุษรูปงามถึงเพียงนี้ ผู้ใดบ้างจะมิใจเต้นรัว

เท่านั้นยังมิพอใจดวงน้อยก็ต้องทำงานหนักอีกครา เมื่อใต้เท้าหนุ่มช้อนอุ้มนางขึ้นแนบอก ก่อนจะเดินผ่านสายตาสตรีอีกคนซึ่งยืนกำหมัดแน่น มองตามเขาพาจิวซู กลับห้องไปต่อหน้า 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel