6. เมืองหยาง
เมืองหยาง ร่างสูงของใครบางคนภายใต้อาภรณ์ขาวซึ่งมีผ้าคลุมปกปิดส่วนหัวเอาไว้ เขายืนอยู่ในตรอกเล็กใกล้จวนเจ้าเมืองด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
“ข้าจะหาตัวคนที่สังหารครอบครัวเราให้ได้ท่านพ่อท่านแม่ ขออภัยที่ลูกมิอาจไปคารวะหลุมศพของท่านได้ แต่ในสักวันลูกจะนำเลือดคนผู้นั้นมาเซ่นไหว้พวกท่านแน่”
“นายท่านได้ยินว่ามีคนในจวนเหลือรอดอีกหนึ่ง มิรู้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครกันแน่ เราควรออกตามหาหรือไม่”
“ต้องเป็นเช่นนั้น คนผู้นี้อาจจะเห็นว่าผู้ใดเป็นคนลงมือก็ได้ ข้าหวังว่าเขาจะหนีรอดและปลอดภัยในตอนนี้”
เหรินชิงหยุนบุตรชายคนโตของสกุลเหริน ผู้ที่เหลือรอดอีกหนึ่ง ในยามนั้นเขาต้องไปรับผ้าแทนคนงานที่ล้มป่วย จึงรอดชีวิตมาพร้อมกับคนสนิทซึ่งประจำอยู่เมืองหลวง
“ข้าเชื่อว่าคนผู้นั้นคงมิอาศัยอยู่ที่นี่แล้วนะขอรับ อาจจะเก็บตัวเงียบมิกล้าเผยตัวเป็นแน่”
“คงเป็นเช่นนั้น แม้แต่ข้าเองก็ยังกลายเป็นคนเร่ร่อน ทั้งที่มีบ้านให้กลับ แต่หากมิทำเช่นนี้คนรอบตัวก็อาจเดือดร้อนไปด้วยนี่สิ”
เสียงทุ้มปนความเศร้าเอ่ยขึ้น นัยน์ตานั้นยังคงจ้องไปที่จวนของบิดา ซึ่งยามนี้มันถูกปิดตายและมีทหารคอยเฝ้า
“ข้าน้อยก็อยากไปไหว้นายท่านทั้งสองคุณชายรอง และคุณหนูฟู่หรง หากเราอยู่ที่นี่อาจจะช่วยใครสักคนได้”
ชิงหยุนกระชับดาบในมือ เขาขบกรามแน่นระบายความรู้สึกที่มันกำลังอัดแน่นไปด้วยความโกรธ หยดน้ำตาไหลรินลงมามิรู้ตัว เมื่อนึกถึงใบหน้าอ่อนเยาว์ของใครบางคนที่เขาหมายจะให้นางเป็นภรรยา
“คุณชายคิดถึงคุณหนูหรือขอรับ”
“ข้าหวังให้นางเป็นแม่ของลูก แต่ยามนี้ขอแค่คนที่รอดคือนาง ข้าจะยอมทำทุกอย่างให้นางมีชีวิตที่ดี ฟู่หรงอาภัพมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ยังโชคร้ายถูกสังหารเช่นนี้อีก”
“ข้าน้อยภาวนาให้ผู้ที่รอดนั้นคือคุณหนู อย่างน้อยคุณชายก็ยังเหลือสตรีอันเป็นที่รักอยู่ด้วย”
“หึ! คำขอของเจ้ามิมีทางเป็นจริงได้หรอกจงหลิน ในยามที่เกิดเหตุฟู่หรงถูกกักบริเวณจำมิได้หรือ”
ชิงหยุนเอ่ยในสิ่งที่เขาจำได้ดี คนตัวเล็กหนีออกจากจวนจนถูกทำโทษก่อนหน้าเขาเดินทางหนึ่งวัน อย่างไรเสียนางก็คงหนีออกมามิได้แน่ เว้นเสียแต่จะปีนต้นไม้ออกมา
แต่นั่นมันก็เพียงสิ่งที่เขาคิด มิรู้ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แม้ว่าสตรีที่ตนเอ่ยถึงจะดื้อซนต่างจากคนอื่น หยวนฟู่หรงเป็นบุตรบุญธรรมของหยวนปิงลี่ น้องสาวบิดาชิงหยุน นางจึงมิได้มีสายเลือดเกี่ยวข้องกับเขา ทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้ดี แม้กระทั่งตัวของฟู่หรงเอง
สาเหตุที่ต้องมาอยู่จวนสกุลเหรินก็เพราะ เมื่อสามปีก่อนบิดามารดาถูกสังหารจากกลุ่มโจรในหุบเขาขณะเดินทาง นางและเด็กคนอื่นๆ หนีรอดไปได้ แต่ก็ถูกจับอีกครั้งจากกลุ่มของโจรสลัดซึ่งในยามนั้นออกอาละวาดอย่างต่อเนื่อง จนผู้คนหวาดกลัวมิกล้าออกทำประมง
แต่สุดท้ายนางก็หนีรอดมาได้โดยมิมีผู้ใดรู้ว่าเกิดขึ้นได้เช่นไร เพราะยามนั้นฟู่หรงยังเด็กมิน่าหนีเงื้อมมือคนเหล่านี้ซึ่งมีอาวุธครบมือ แต่ก็นั้นแหละถือว่าเป็นเรื่องดีที่หนีรอดมาได้ แต่ก็ต้องสูญเสียบิดามารดาที่คอยเลี้ยงดู
ความลับบางอย่างเกี่ยวกับชาติกำเนิด จึงมีเพียงตัวนางเองและใครอีกคนซึ่งหายสาบสูญไปเมื่อสามปีก่อนในเหตุปล้นขบวนเดินทางของสกุลหยวน ในยามนั้นทุกคนคิดว่าเขาได้ตายไปแล้ว เพราะถูกฟันตกหน้าผาไป แต่ความเป็นจริงคือเขายังคงวนเวียนอยู่ใกล้ตัวฟู่หรง หลังจากที่หายดีก็รีบกลับมา
และได้รู้ว่ายามนั้นคนที่ตนต้องดูแลอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว เขาจึงวางใจและคอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ตลอดสามปี แต่มิคิดว่าวันที่ต้องกลับไปรายงานผู้เป็นนายกลับเกิดเรื่องขึ้นที่จวนแห่งนี้ เขาเองก็ยังคงคอยสืบข่าวของฟู่หรงมิหยุด
และวันนี้เขาก็ตามชิงหยุนมาเผื่อจะได้ข่าวเกี่ยวกับคนในจวนบ้าง แต่ดูแล้วคงเหลวมิเป็นท่า เพราะยามนี้คุณชายชิงหยุนก็คงต้องคอยหลบซ่อนเช่นกัน
“นายท่านเราจะทำเช่นไรต่อไปขอรับ”
“สืบที่นี่คงมิมีทางได้สิ่งใด ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะส่งคนมาแฝงตัวไว้เช่นกัน มิเช่นนั้นชิงหยุนคงมิระวังตัวเช่นนี้”
“นั่นสิขอรับ เช่นนี้จะตามหานางได้เช่นไร”
“ขอเพียงเจ้าแน่ใจว่าสตรีที่ถูกตามล่าในวันนั้นคือฟู่หรง ข้าเชื่อว่านางจะพาตนหนีรอดไปได้แน่”
“จริงด้วยขอรับ กระทั่งพวกโจรสลัดยังมิอาจสังหารนางได้ ไหนเลยคนเพียงแค่นั้นจะเอาแม่นางฟู่หรงลง”
“หึ! เจ้าก็ชื่นชมนางเกินไป ฟู่หรงเพียงแค่โชคดีและฉลาดเฉลียวเท่านั้น หากนางเป็นเพียงสตรีทั่วไปก็คงมิมีชีวิตรอดถึงยามนี้เป็นแน่”
“อย่างไรหรือขอรับ ไยนายท่านเอ่ยราวกับนางมิใช่มนุษย์เช่นนี้ ข้าน้อยขนลุกไปหมดแล้ว”
กวนถงเอ่ยถามผู้เป็นนายที่เอ่ยถ้อยคำทำเอาเขาสงสัย
“นางก็เป็นมนุษย์เช่นเรานี่แหละ เอาเถอะเจ้าอย่ารู้มากเลย มันจะเป็นภัยต่อตัวเจ้าเองมิรู้หรือ”
กวนถงยิ้มแห้งใส่ทันที ยามนี้เขามิอยากรู้สิ่งใดแล้ว เพราะดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องใหญ่มิใช่น้อย
“เราคงต้องส่งคนไปที่หน่วยตรวจการเสื้อดำด้วย อย่างน้อยอาจได้เบาะแสอย่างอื่นเกี่ยวกับการสังหารครานี้ ข้าหวังว่ามันจะมิเกี่ยวข้องกับฟู่หรง มิเช่นนั้นนางคงมิปลอดภัยหากพวกมันหาตัวพบ”
“นายท่านคุณหนูผู้นี้มีความสำคัญเช่นไรไยถึง”
“เรื่องบางเรื่องแค่ทำตามที่สั่งก็พอ หากเจ้ามิชิงตายไปเสียก่อนเมื่อนั้นก็จะได้รู้เอง”
คำตอบของผู้เป็นนายทำเอากวนถงถึงกับกลืนน้ำลายเลยทีเดียว นัยน์ตาคมหันกลับมามองคนสนิทซึ่งเอาแต่ตั้งคำถามมิหยุด ก่อนจะหันไปทางบุรุษสองคนที่ยืนอยู่ในตรอก ยามนี้ทั้งคู่กำลังเดินผละออกไป เขาจึงสั่งให้สมุนติดตามอยู่ เพราะดูท่าชิงหยุนเองก็ตกเป็นเป้าเช่นกัน
ลู่ฟานเสียนบุรุษหนุ่มวัยสามสี่ เขาคือผู้ติดตามดูแลฟู่หรงมาตั้งแต่นางเข้ามาอยู่ในสกุลหยวน ทุกคนต่างก็ทำหน้าที่ของตนเพื่อเลี้ยงดูนางให้เติบใหญ่ แต่มิคิดว่าชีวิตของเด็กสาวนั้นกลับพลิกผันอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้
“ข้าน้อยจะตามหาท่านให้พบ เพื่อส่งคืนกลับฐานะเดิมให้จงได้ ขอให้ท่านยังปลอดภัยอยู่ที่ใดสักแห่ง”
เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะผละออกจากที่ซ่อน และเดินปะปนกับชาวเมืองเช่นคนปกติทั่วไป เพราะยามนี้หัวหน้าหน่วยตรวจการจางเสิ่นอวี้ กำลังสั่งคนกระจายออกไปเพื่อตามหาชิงหยุน เพราะเขาทราบข่าวว่าคุณชายผู้นี้เดินทางมาที่นี่ หลังจากที่กบดานมิออกมาเกือบครึ่งเดือน แต่ก็ช้ากว่าอีกฝ่าย
“ดูเหมือนคุณชายเหรินจะรู้ตัวขอรับ”
“อืม คงจะระวังตัวอยู่มิน้อย เรื่องนี้คงมิใช่แค่เหตุเพลิงไหม้อย่างที่คิด ต้องมีอะไรที่ใหญ่มากกว่าแค้นส่วนตัวเป็นแน่ สั่งคนไปซุ่มที่สุสาน มิแน่ว่าคุณชายเหรินอาจไปที่นั่น”
เสิ่นอวี้ออกคำสั่งก่อนจะบังคับม้าหันหัวกลับไปทางเรือนรับรอง เขาเองก็คาดหวังให้คนที่รอดชีวิตเดินเข้ามาหาเอง อย่างน้อยเรื่องนี้จะได้กระจ่างโดยเร็ว แต่ดูท่าคงจะเป็นอย่างที่เขาคิด เรื่องนี้คงเกี่ยวข้องกับคนสูงศักดิ์ในราชสำนักเป็นแน่ มิเช่นนั้นผู้ที่รอดชีวิตทั้งสองไยถึงมิปรากฏตัว
“ใต้เท้าจะกลับเมืองหลวงวันใดขอรับ นี่เราก็ตามสืบมาเกือบห้าวันแล้ว ยังคงมิใดอันใดเลย”
“ทำไม เจ้าคิดถึงถงเหยาอย่างนั้นหรือ จากมามิกี่วันก็จะขาดใจตายแล้วเช่นนี้ อีกหน่อยคงมิตามข้าออกนอกเมืองหลวงแล้วกระมัง”
เสิ่นอวี้เอ่ยเย้าคนสนิท ซึ่งมีท่าทีเช่นที่เขาว่าจริงๆ มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นดื่ม พร้อมกับเหลือบมองคนของตน ซึ่งยืนยิ้มแห้งใส่เมื่อผู้เป็นนายรู้ทัน
“ก็ถงเหยานางน่ารักและดีกับข้าน้อยมาก ตามใจทุกอย่างจะมิให้ข้าน้อยคิดถึงได้อย่างไร”
“หึ! เจ้ากับนางพึ่งจะแต่งงานกัน ไยถึงหลงหัวปักหัวปำเช่นนี้ อีกหน่อยมิชี้นกเป็นไม้ ชี้ไม้เป็นนกหรือ”
“ห้าวเฉิงเจ้าก็เอ่ยเกินไป นกก็ต้องเป็นนกสิ จะให้นกเป็นไม้ได้เช่นไร ข้าก็มิได้โง่ถึงเพียงนั้นเสียหน่อย”
“จะรู้หรือ เห็นชื่นชมกันนักนี่”
ห้าวเฉิงเอ่ยก่อนจะนั่งลงรินน้ำชาดื่มบ้าง เสิ่นอวี้ส่ายหัวให้กับคนสนิทของตนที่มักจะถกเถียงกันเรื่องนี้เสมอ เพราะอีกคนแต่งงานแล้ว แต่อีกหนึ่งยังมิมีผู้ใดเลย จึงมิอาจเข้าใจความคิดของคนที่กำลังอยู่ในห้วงรักอย่างเฟยหยาง ส่วนตัวเขาเองนั้นเคยมีแม้มันจะเนิ่นนาน
แต่ก็พอจำได้ถึงความรู้สึกนั้น และจู่ๆ ในหัวก็นึกภาพของสตรีตัวน้อยใต้ร่างเขาเมื่อห้าวันก่อนขึ้นมา เพียงเท่านั้นช่วงล่างก็ปวดหนึบขึ้นทันที ทำเอาเขาถึงกับหน้าถอดสีนั่งเงียบมิเอ่ยสิ่งใด มีเพียงเสียงของสองสหายที่ยังคงถกเถียงกันมิหยุด
“ข้าชื่่นชมนางเพราะถงเหยาดีจริง จะมีสตรีสักกี่คนที่ทำให้เราเป็นสุขยามที่อยู่ใกล้ หากอยู่ด้วยแล้วมีแต่เรื่องทำให้ยุ่งยากลำบากใจ ข้าก็มิทนหรอกเพราะมันคือความสุขของข้ามิใช่ของผู้อื่นเสียหน่อย”
“เจ้าพูดซะข้าอยากมีเมียขึ้นมาเลย เห็นทีกลับไปครานี้คงต้องหาใครสักคนมาไว้นอนกอดเช่นเจ้าเสียแล้ว”
ห้าวเฉิงเอ่ยสิ่งที่คิดออกมา ก่อนจะหันไปหาผู้เป็นนาย
“เฟยหยางนายน้อยเป็นอันใด ไยถึงนั่งนิ่งเช่นนั้น”
ห้าวเฉิงหันมากระซิบกับสหาย ซึ่งอีกฝ่ายก็เกิดความสงสัยขึ้นมาเช่นกัน จึงได้มองผู้เป็นนายมิวางตา จนเสิ่นอวี้รู้สึกตัวว่าตนกำลังถูกจ้อง
“มีอะไรทำก็ไปสิข้าจะพักผ่อน พรุ่งนี้ก็เตรียมตัวเดินทางกลับเมืองหลวง ที่นี่คงมีมิอันใดต้องสืบแล้ว”
“ขอรับ” สองสหายรับคำก่อนจะเดินออกจากห้องโถง เสิ่นอวี้นั่งนึกถึงใบหน้าหวานของสตรีที่ตนแอบอ้างให้นางเป็นภรรยา พลันรอยยิ้มก็ผุดขึ้นเมื่อนึกถึงท่าทางไร้เดียงสาและโง่เขลาจนยอมให้ตนเป็นผู้ชายคนแรก
“หึ! เอาไว้กลับไปข้าจะตบรางวัลให้เจ้าอีกก็แล้วกัน หวังว่าจะทำตัวน่ารักเช่นนี้ตลอดไปนะฮูหยินน้อย”
เขาเอ่ยในสิ่งที่คิด และหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น เพราะเสิ่นอวี้ตั้งใจจะให้นางอยู่ในตำแหน่งนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะสามารถรักใครสักคนได้อีก หรือไม่ก็คนรักกลับมา
น่าแปลกที่เขาคิดเช่นนี้เพราะปกติเสิ่นอวี้จะมิเคยทำร้ายผู้ใดก่อน ยิ่งเป็นสตรีด้วยแล้ว แต่กลับจิวซูไยโชคชะตาถึงชักพาให้เขาทำเรื่องเห็นแก่ตัวกับนาง ซ้ำยังมองมิเห็นความผิดของตนแม้แต่น้อย จนกระทั่งกลับมาถึงจวน การกระทำอันเห็นแก่ตัวของเขามันก็ส่งผลให้ต้องรับผิดชอบ
ทันทีที่เขาก้าวเข้าจวนในวันถัดมาเมื่อเดินทางมาถึง ภายในเรือนก็ถูกประดับตบแต่งอย่างรีบเร่ง เพราะทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว พอมาถึงเขาก็ถูกจับไปแต่งตัว มิต่างจากจิวซูซึ่งยามนี้นางหายดีแล้ว
“เกิดสิ่งใดขึ้นไยข้าต้องใส่ชุดนี้”
“นายท่านสั่งขอรับ และนี่ก็เป็นราชโองการที่ฮ่องเต้โปรดเกล้าให้ใต้เท้า แม้จะชุกละหูกอยู่บ้าง แต่ทุกอย่างเตรียมเรียบร้อยครบหมดอย่าได้กังวลเลยขอรับ”
“อะไรนะ!!”