8. เรื่องราวของผู้สูญหาย
จากวันมงคลของจวนสกุลจาง ก็ผ่านมาสองวันแล้วที่สามีภรรยายังมิได้พบเจอกัน เป็นเพราะเสิ่นอวี้ถูกเรียกให้เข้าเฝ้ารับมอบหมายงานที่สำคัญกว่า จึงถูกตามตัวในเช้าของวันถัดมาหลังจากที่ผู้เป็นพ่อเข้าเฝ้าได้ไม่นาน
และยังต้องออกไปสืบข่าวกับคนที่เขาพึ่งพบในงานแต่ง ซึ่งยามนี้เสิ่นอวี้ได้ล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของอีกฝ่ายแล้ว และเรื่องทุกอย่างที่ฟานเสียนบอกเกือบทั้งหมด
“เช่นนี้แล้วเราคงช้ามิได้ มิเช่นนั้นรัชทายาทคงมิรอด”
“จากนี้เรียกขานนามว่าฟู่หรงเถอะ เพราะข้ามิอยากให้ผู้ใดได้ยินยามที่เราพูดถึงรัชทายาท”
“ข้าน้อยขออภัยขอรับ”
“มิต้องนอบน้อมต่อข้าถึงเพียงนั้น อย่างไรเราก็ทำหน้าที่ให้นายคนเดียวกันมิใช่หรือ”
“แต่ท่านอาลู่เป็นคนของแคว้นหนานจู”
“เจ้าอาจมิรู้ ว่าแคว้นหนานจูและแคว้นจิงโจวเป็นพี่น้องกัน พระขนิษฐาของฮ่องเต้แต่งงานกับฮ่องเต้ของข้า เช่นนั้นคนที่เรากำลังตามหาก็คือพระนัดดาของฝ่าบาทเจ้า ยามนี้เข้าใจหรือยัง ว่าเหตุใดเจ้าถึงต้องรับงานนี้”
“เป็นเช่นนี้เอง” เสิ่นอวี้นิ่งไป คราแรกเขาเองก็สงสัยมิน้อย เหตุใดต้องช่วยตามหารัชทายาทผู้นี้ด้วย และดูสีหน้าฮ่องเต้นั้นก็กังวลเสียเหลือเกิน
“ข้าคงต้องกลับไปที่เมืองหยางอีกครั้ง หวังว่าเจ้าจะได้ข่าวโดยเร็ว ข้าอยากรู้ว่าคนที่หนีรอดจากสกุลเหรินใช่คนที่เราตามหาหรือไม่”
“ข้าน้อยจะรีบตามเรื่องนี้ขอรับ”
“ข้าฝากด้วยนะเสิ่นอวี้”
ฟานเสียนเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากจวนราชครู จึงเหลือเพียงคนสนิททั้งสองหารือกันต่อที่ศาลากลางน้ำ ห้าวเฉิงเมื่อเห็นว่าปลอดคนจึงเอ่ยขึ้น
“นายน้อยหรือสกุลเหรินจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ขอรับ ถึงได้ถูกสังหารทั้งครอบครัวเช่นนี้”
“ข้าก็ว่าเช่นนั้น เห็นว่าบิดามารดาของคุณหนูผู้นี้ก็ถูกสังหารก่อนนั้นสองปี ข้าว่ามันต้องเกี่ยวโยงกันแน่”
สองสหายยังคงเอ่ยถึงเรื่องที่พึ่งได้รับมอบหมายมาจากฮ่องเต้ หากแต่ผู้เป็นนายนั้นกลับมิได้ใส่ใจฟังแม้แต่น้อย เพราะมัวแต่มองไปยังสตรีตัวน้อยที่ได้ชื่อว่าเป็นฮูหยินของเขาแล้ว ยิ้มร้ายผุดขึ้นมิต่างจากนัยน์ตาคมของเสือร้ายที่มองเห็นเหยื่อแล้วพร้อมจะขย้ำ
จิวซูกำลังกระโดดเก็บพุทราเพราะมันสุดเอื้อมมือ บางครานางก็เท้าสะเอวยืนมองเสียอย่างนั้น ราวกับกำลังตำหนิผลไม้ตรงหน้าว่าเหตุใดจึงอยู่สูงนัก หากมิใช่เพราะตนกลายเป็นฮูหยินแล้ว คงปีนขึ้นไปเก็บเป็นแน่
“นี่เจ้าต้นพุทรา ช่วยโน้มกิ่งลงมาให้ข้าสักนิดมิได้หรือ ข้าเกิดมาเตี้ยเช่นนี้เจ้าก็ยังมิเห็นใจข้าอีกนะ ใจร้ายสิ้นดี”
เสียงหวานเอ่ยตำหนิต้นไม้ราวกับมันจะฟังรู้เรื่อง แต่จู่ๆ กิ่งนั้นก็โน้มอ่อนลงมาราวกับได้ยินคำขอ หากอันที่จริงมันขยับได้เพราะฝักกระบี่ที่เสิ่นอวี้ใช้กดลงมาต่างหาก ทำให้คนที่กำลังจะเอื้อมมือไปเด็ดชะงักลงในทันที พร้อมกับหันกลับมาและถอยหนีด้วยความตกใจ
แต่ก็ถูกแขนแกร่งรั้งเอวขอดเอาไว้เสียก่อน เสิ่นอวี้โยนกระบี่ให้คนของตนเพื่อที่จะได้กอดรัดฮูหยินตัวน้อยเอาไว้ทั้งสองแขน จิวซูไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่าย เพราะตั้งแต่เขากลับมาจากสืบคดีคราก่อนแต่งงาน ก็ยังมิทันได้เห็นหน้ากันอีกเลย
ซึ่งมันมิต่างจากคนตรงหน้าที่กอดนางเอาไว้ ยามนี้ใบหน้าของจิวซู มิได้มีร่องรอยบอบช้ำเช่นคราก่อน ความงามอันโดดเด่นจึงปรากฏแก่สายตาใต้เท้าหนุ่ม จนมิอาจผละออกจากแก้มเนียนได้ เขายกมือขึ้นมาเชยคางคนน้องให้เงยเพื่อสบตากัน
“ฮูหยินข้านี่งามสมคำล่ำลือจริงๆ”
“นะ นายน้อยกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
เสียงสั่นของฮูหยินคนงามทำเสิ่นอวี้อดเอ็นดูมิได้
“ข้ากลับมาเพราะคิดถึงเจ้าอย่างไรล่ะ เรายังมิได้เข้าหอกันเลยนะ ยามนี้ท่านพ่อท่านแม่มิอยู่ เช่นนั้น”
เสิ่นอวี้เอ่ยเพียงเท่านั้นก็ช้อนร่างเล็กขึ้นแนบอก ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องของตน โดยมีสายตาของบ่าวในจวนและคนสนิทมองตาม
“เมื่อครู่ข้าได้ยินมิผิดใช่หรือไม่ นายน้อยบอกว่าคิดถึงจิวซู ทั้งที่มิได้คิดอันใดกับนางน่ะหรือ”
“อย่าเอ่ยดังไปเฟยหยาง เจ้าก็รู้ว่านายน้อยให้นางอยู่ที่นี่เพราะเหตุใด ยิ่งยามนี้ได้ข่าวแม่นางซินลี่แล้ว อีกมินานจิวซูก็จะต้องออกจากจวนไปเป็นแน่ เช่นนี้นายน้อยก็คงรีบตักตวงเอาความสุขจากร่างกายนางเป็นแน่”
ห้าวเฉิงเอ่ยในสิ่งที่เขาคิด เพราะมันก็มิต่างจากสิ่งที่เสิ่นอวี้ตั้งใจเอาไว้ ยามนี้ได้ข่าวของสตรีอันเป็นที่รัก ที่หายสาบสูญไปนานถึงห้าปีแล้ว แต่ติดที่ต้องทำงานสำคัญนี้ให้จบเสียก่อน
“แล้วเจ้าจะแน่ใจได้เช่นไรว่านางจะกลับมาหานายน้อย ในเมื่อยามนี้นางเป็นถึงชายาอ๋องต่างแคว้นเชียวนะ”
“แต่เรื่องนี้นายน้อยยังมิรู้นี่ อีกอย่างฝ่ายนั้นเป็นผู้ที่ติดต่อมาเอง เป็นเช่นนี้ข้าเกรงว่านางอาจจะถูกใช้ให้มาเป็นสายเสียมากกว่า”
“เจ้าอย่าได้เอ่ยเรื่องนี้ให้นายน้อยได้ยินเชียว มีหวังเจ้าถูกโบยหลังลายเป็นแน่เฟยหยาง”
“เจ้าจะบอกว่ามิคิดเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ”
ห้าวเฉิงเงียบไป ใช่ว่าเขาจะมิรู้สึกแปลกใจ ข่าวเรื่องแม่นางผู้นี้สองสหายรู้มาสามปีกว่าแล้ว เพียงแต่เห็นว่านางเลือกทางเดินที่ดีกว่า จึงมิเอ่ยเรื่องนี้ให้ผู้เป็นนายฟัง
หวังเพียงให้มีใครซักคนเปลี่ยนหัวใจและดึงเสิ่นอวี้ กลับมาอยู่ในความเป็นจริงอีกครั้ง
แต่สุดท้ายฝ่ายนั้นก็ส่งข่าวมาเอง ในช่วงที่พวกตนตามหาคนสำคัญของแคว้นนั้นพอดี มันช่างประจวบเหมาะกันเหลือเกิน เพราะข่าวลือในราชวงศ์ฉินแห่งแคว้นหนานจูนั้นดังไกลไปทั่วทุกแคว้น ว่าอ๋องชินเหลียงต้องการอำนาจจนถึงขั้นวางยาฮ่องเต้ แต่ยังดีที่หมอหลวงช่วยไว้ได้ทัน
แต่ถึงกระนั้นก็มิมีหลักฐานใดเอาผิดเขาได้จนถึงทุกวันนี้ และฮ่องเต้ก็ดูจะร่างกายอ่อนแอลงทุกที เหล่าโอรสธิดาที่มีก็แทบจะไม่ได้ลืมตาดูโลก บ้างก็ถูกสังหารตั้งแต่วัยเยาว์ หนึ่งเดียวที่มีชีวิตก็ถูกตามล่าจนถึงทุกวันนี้
“อย่างไรเสียนายน้อยก็คงมิเชื่อคำพูดของผู้ใดนอกจากนางเป็นแน่ และสิ่งที่เจ้าคิดอาจจะมิมีมูลความจริง นางอาจอยากกลับมาหานายน้อยด้วยใจจริงก็ได้”
“เช่นนั้นเจ้ากับข้ามาพนันกัน อีกมินานนางจะต้องเป็นคนมาหานายน้อยเอง เพื่อมาสืบข่าวคนที่หายสาบสูญที่นี่”
“ได้! ถึงยามนั้นข้านี้แหละจะเป็นคนคอยสอดส่องนางเอง แต่ถ้าเกินเดือนแล้วก็มินับหรอกนะสหาย”
ห้าวเฉิงเอ่ยอย่างมั่นใจ เฟยหยางยกยิ้มเพราะอย่างไรเขาก็ต้องได้กินเงินพนันนี้เป็นแน่ จะมิให้เขามั่นใจได้เช่นไร ในเมื่อเฟยหยางมีสหายที่เป็นองครักษ์อยู่แคว้นหนานจู ซึ่งเดินทางมาสมทบกับฟานเสียน
เพื่อสืบหาว่าที่รัชทายาทองค์เดียวของแคว้น ซึ่งพวกเขายังมิรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นสตรีหรือบุรุษ และข่าวที่สหายบอกเขาก็คือการวางแผนของอ๋องชินเหลียน กับพระชายาก็คือแม่นางซินลี่นี่แหละ ทั้งคู่กำลังวางแผนเข้ามาปะปนเพื่อสืบเรื่องราวทุกอย่าง เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ยามใดเขาก็อดคิดมิได้ว่าอำนาจมันหอมหวานมากนักหรือ จนยอมให้ภรรยาของตนเข้ามาอยู่ในเรือนกับบุรุษอื่นได้เช่นนี้
หลังจากจับมือสัญญากัน สองสหายก็แยกย้ายกันไปพัก เฟยหยางกลับมายังเรือนหลัง ซึ่งเป็นบ้านพักของตนและเมียรักที่เตรียมอาหารไว้รอเรียบร้อย เมื่อเห็นสามีของตนกลับมาก็รีบตั้งท่าจะออกไปทำหน้าที่ตามปกติ
“เจ้าจะไปที่ใดถงเหยา”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน เพราะมิเข้าใจเหตุใดสามีถึงได้เอ่ยถาม นางก็ไปเช่นนี้ปกติยามที่เขากลับมา เพราะนั้นหมายถึงนายน้อยกลับมาแล้วเช่นกัน
“ก็รีบไปเตรียมน้ำให้นายน้อยอย่างไรล่ะ ป่านนี้คงรอแย่แล้วกระมัง ไยท่านกลับมาจึงมิบอกข้าเลย”
เฟยหยางโอบเอวเมียรักเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยบอก
“มิต้องไปหรอก ยามนี้นายน้อยอยู่กับฮูหยิน”
นัยน์ตาของถงเหยาหม่นลงในทันที เพราะนึกสงสารจิวซูขึ้นมาเสียดื้อๆ เพราะนางคงถูกผู้เป็นนายกระทำจนจับไข้อีกเป็นแน่ และเรื่องนี้เฟยหยางก็รู้ดี เพราะเมียรักเล่าให้ฟัง
“เจ้าอย่ากังวลไปเลยนะ ข้าบอกกับนายน้อยไปแล้ว”
“บอกแล้ว แต่จะปฎิบัติต่อนางดีหรือไม่ ท่านมิเห็นร่างกายนางในวันนั้น นายน้อยโหดร้ายเกินไป มิรักนางยังรังแกนางอีก เช่นนี้แล้วไยถึงมิปล่อยนางไป”
“มิแน่หรอกอีกมินานนางอาจเป็นอิสระก็ได้”
“หมายความว่าเช่นไรพี่เฟยหยาง นี่นายน้อยมิคิดจะเลี้ยงดูจิวซูแต่แรกแล้วหรือ”
“เราเป็นเพียงข้ารับใช้มิอาจเข้าไปยุ่งเรื่องของผู้เป็นนายได้หรอก ทุกอย่างล้วนผูกอยู่ในชะตากรรม เจ้าอย่าเป็นทุกข์กับเรื่องเช่นนี้เลยนะ”
“แต่ข้าสงสารฮูหยิน นางมิได้รับรู้สิ่งใดเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ชื่อของตนข้าก็ยังเป็นคนตั้งให้ เช่นนี้ท่านจะให้ข้าทนดูโดยมิทำสิ่งใดเลยได้เช่นไร”
เฟยหยางกอดเมียรักเข้ามาแนบอก เขารู้ดีว่าถงเหยาเป็นคนจิตใจดีเพียงใด นางรักจิวซูดั่งน้องสาวแท้ๆ ดูได้จากความห่วงใยที่มีให้ตลอดตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นี่
“เอาเถอะ ข้าเห็นสายตานายน้อยที่มองฮูหยิน มิแน่ว่านางอาจเปลี่ยนหัวใจหินของนายน้อย ให้หันมามีชีวิตอีกครั้งก็ได้ เจ้าอย่าพึ่งกังวลไป”
ถงเหยาเงยหน้ามองสามีเพื่อจะเอ่ยถามอีกครั้ง แต่ก็เจอกับริมฝีปากที่อีกฝ่ายกดลงมาปิดเอาไว้เสียก่อน เสียงที่คิดจะเปล่งออกมาถามจึงกลายเป็นเสียงครางแทน
ซึ่งมันต่างจากเรือนหนิงเหอในยามนี้ เพราะจิวซูเกิดตื่นกลัวร่างสูงที่อุ้มนางมาวางบนเตียงกว้าง คราก่อนนั้นนางหลงคล้อยตามให้เขาจับกินจนล้มป่วย เพราะอีกฝ่ายมิได้ถนอมแม้แต่น้อย นั่นเป็นเพราะเสิ่นอวี้เห็นจิวซูเป็นเพียงที่ระบายเท่านั้น
“นะ นายน้อยจะทำกระไรเจ้าคะ”
“ก็เข้าหอน่ะสิ เรายังมิได้เข้าหอกันเลยนะ อีกอย่างแต่งงานแล้วเจ้าต้องเรียกพี่ว่าท่านพี่รู้หรือไม่”
จิวซูมองหน้าคนตัวโตที่เอาแต่จ้องตน ใจดวงน้อยยามนี้เต้นมิเป็นส่ำแล้ว เพราะทั้งกลัวและตื่นเต้นปะปนกัน นางเกรงว่าเขาจะทำให้ต้องนอนป่วยเช่นวันนั้นอีก กว่าจะลุกได้ก็เกือบสามวัน เพราะเหมือนจะหายดีก็ถูกจับให้แต่งงาน จนกระทั่งมีอาการอย่างที่เห็น
และบางสิ่งที่ทำให้นางลังเลคือภาพความจำที่ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ มันมิเคยมีคนผู้นี้ที่บอกว่าเป็นสามีตนเลย แต่อย่างไรล่ะในเมื่อทุกอย่างมันเลยเถิดมาถึงตอนนี้แล้ว จะปฎิเสธก็คงมิทันแล้วกระมัง