บทที่ 4
จากนั้นอี้หย่งจินก็หยิบรายงานอีกฉบับออกมา "ส่วนการใช้แรงงานอย่างกดขี่นั้นไม่เป็นความจริง นี่คือบันทึกการทำงานของคนงานจำเป็นต้องสร้างเขื่อนให้เสร็จก่อนฤดูน้ำหลาก จึงต้องมีการสลับชุดคนงานทำงานตลอดทั้งวัน โดยจะสลับกันทำงานระหว่างช่วงกลางวันและกลางคืน"
คำอธิบายของอี้หย่งจินดูมีเหตุผลและมีหลักฐานมารองรับ ทำให้บรรยากาศในท้องพระโรงเริ่มเปลี่ยนไป เหล่าขุนนางเริ่มกระซิบกระซาบกัน บางคนพยักหน้าเห็นด้วย ในขณะที่บางคนยังคงมีท่าทีสงสัย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลักฐานที่อี้หย่งจินนำมาแสดงนั้นดูน่าเชื่อถือ
ทันใดนั้น ขุนนางผู้หนึ่งมีนามว่าเฉินเหวิน เป็นหัวหน้าขุนนางฝ่ายตรวจสอบก้าวออกมา เขาโค้งคำนับฮ่องเต้ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขออนุญาตแสดงความคิดเห็น"
“พูดมา!”
เมื่อได้รับอนุญาต เฉินเหวินก็กล่าวต่อ "แม้หลักฐานที่อี้หย่งจินนำมาแสดงจะดูสมบูรณ์ แต่ผู้ที่กระทำผิดย่อมต้องคิดสร้างหลักฐานเท็จเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า การที่อี้หย่งจินมีเอกสารพร้อมสรรพเช่นนี้ อาจเป็นเพราะเขาได้วางแผนและเตรียมการมาเป็นอย่างดี"
คำพูดของเฉินเหวินทำให้บรรยากาศในท้องพระโรงตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง เหล่าขุนนางเริ่มมองหน้ากันด้วยความสงสัย บางคนพยักหน้าเห็นด้วยกับเฉินเหวิน ในขณะที่บางคนยังคงลังเลไม่แน่ใจ
อี้หย่งจินหันไปมองเฉินเหวินด้วยสายตาคมกริบ ก่อนกราบทูลต่อฮ่องเต้ "ทูลฝ่าบาท นี่เป็นการใส่ร้ายป้ายสีหรือไม่ กระหม่อมยินดีให้มีการสอบสวนอย่างละเอียด และพร้อมจะรับโทษหากพบว่ากระทำผิดจริง"
“ฝ่าบาท...คำอธิบายของรองเสนาบดีอี้ล้วนมีเหตุผลมารองรับ เข้าใจว่าการทำงานอย่างเร่งรีบอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด แต่ทุกการตัดสินใจนั้นล้วนคำนึงถึงประโยชน์ของแผ่นดินและความปลอดภัยของราษฎรเป็นที่ตั้ง" ขุนนางอีกคนที่เป็นฝ่ายของอี้หย่งจินรีบช่วยพูดสนับสนุน ตามด้วยขุนนางอีกสองสามคนที่ช่วยออกหน้าในเรื่องนี้
ฮ่องเต้ทรงนิ่งฟังทุกฝ่ายด้วยสีพระพักตร์เคร่งขรึม ก่อนจะตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ข้าจะแต่งตั้งให้กรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง!”
ทว่าทันใดนั้น ขุนนางอีกคนหนึ่งก็ก้าวออกมาด้านหน้า พร้อมกับยื่นหลักฐานเพิ่มเติม เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีหลักฐานเรื่องที่ไป๋เสียนเว่ยบุตรเขยของท่านรองเสนาบดีอี้ ร่วมสมรู้ร่วมคิดในการทุจริตในครั้งนี้ ตามหลักฐานที่พบ ไป๋เสียนเว่ยได้ใช้ตำแหน่งแทรกแซงการจัดซื้อวัสดุสร้างเขื่อน โดยสั่งซื้อหินและไม้ราคาแพงเกินจริง อ้างว่าเป็นของดีจากแคว้นฉี ทั้งที่เป็นของราคาต่ำไร้คุณภาพ”
เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้งในท้องพระโรง สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ไป๋เสียนเว่ยที่ยืนอยู่ในแถวในทันที
“พ่อตากับลูกเขยร่วมมือกันสมรู้ร่วมคิดอย่างนั้นหรือ...” เสียงซุบซิบกันของเหล่าขุนนางดังขึ้นเป็นระยะ ๆ
"นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานลายมือ ที่เขียนจดหมายโต้ตอบระหว่างไป๋เสียนเว่ยกับพ่อค้าบางราย ส่วนนี่คือบัญชีของราคาสินค้าที่แท้จริง เปรียบเทียบกับบัญชีที่ไป๋เสียนเว่ยรายงานต่อราชสำนัก จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันอย่างมาก"
หลักฐานที่ขุนนางผู้นั้นนำมากราบทูลมีความแน่นหนาและชัดเจน ไม่มีช่องให้ไป๋เสียนเว่ยแก้ตัวได้ ทำให้คนถูกกล่าวหายืนนิ่ง สีหน้าซีดเผือด ดวงตาฉายแววหวาดกลัวอย่างไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้
ฮ่องเต้ทรงรับรายงานจากจากหลี่กงกงและกวาดสายตาพิจารณาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตรัสด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "ไป๋เสียนเว่ย เจ้าเพิ่งได้รับตำแหน่งแท้ ๆ แต่กลับทำเรื่องน่าละลายเช่นนี้ มีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่!?"
ไป๋เสียนเว่ยยืนตัวสั่น เหงื่อเย็น ๆ ผุดซึมตามขมับ เขาพยายามเปล่งเสียง "ทะ...ทูลฝ่าบาท กระ...กระหม่อม..."
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ อี้หย่งจินก็ตวาดแทรกขึ้นมา "เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร!? ข้าไว้ใจเจ้า ให้เจ้าดูแลเรื่องสำคัญเช่นนี้ แต่เจ้ากลับ..." เขาหยุดพูดกลางคัน สีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวังและโกรธแค้น
“ขะ...ข้า” ไป๋เสียนเว่ยพูดตะกุกตะกัก หันไปมองพ่อตาด้วยสายตาตกตะลึง ริมฝีปากของเขาสั่นระริก เหมือนอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่แรงกดดันจากสายตาของเหล่าขุนนางที่จับจ้องมา ทำให้เขาต้องกลืนคำพูดลงคอ ขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่อี้หย่งจิน ราวกับรอคอยความช่วยเหลือที่ไม่มีวันมาถึง
อี้หย่งจินมองไปที่บุตรเขยของตนด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหันกลับมาทูลฮ่องเต้ "ทูลฝ่าบาท กระหม่อม... กระหม่อมไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อนเลย" เขาหยุดชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น "หากเขากระทำผิดจริง ก็สมควรต้องรับโทษตามกฎหมาย"
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองอี้หย่งจินชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวออกมา "เจ้าหมายความว่า เจ้าไม่รู้เรื่องการกระทำของลูกเขยตนเองเอย่างนั้นหรือ?"
อี้หย่งจินโค้งคำนับลึก "ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขอสาบานว่าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน และยินดีให้มีการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นกระหม่อมขอยอมรับผิดที่ไว้ใจบุตรเขยเกินไป ซึ่งหากตรวจสอบแล้วพบว่ากระหม่อมมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้จริงก็พร้อมจะรับโทษอย่างสาสมพ่ะย่ะค่ะ"
ฮ่องเต้ทรงพยักหน้าเล็กน้อย "ดี ข้าจะให้กรมอาญาสืบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง! ระหว่างนี้ให้คุมตัวไป๋เสียนเว่ยเอาไว้ก่อน!" พูดจบก็โบกมือไล่ด้วยความโมโห
อี้หย่งจินค้อมศีรษะลงต่ำ "พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน"
เจ้าหน้าที่กรมอาญาพร้อมทหารองครักษ์สองนายรีบนำตัวไป๋เสียนเว่ยที่แทบจะล้มทั้งยืนออกจากท้องพระโรง ขณะถูกคุมตัวไป เขาหันมองอี้หย่งจินเป็นครั้งสุดท้าย แต่พ่อตากลับยืนนิ่งเฉยด้วยสีหน้าเย็นชา
ความเงียบอันหนักอึ้งปกคลุมไปทั่ว ดวงตาของเหล่าขุนนางเต็มไปด้วยความตกตะลึงและหวาดหวั่น ราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจราชสำนัก ตระกูลอี้ที่เคยสูงส่งดั่งเมฆบนท้องฟ้า บัดนี้กลับต้องเผชิญกับพายุร้ายคุกคามราวกับจะพัดถอนรากถอนโคน...
เมื่อได้ยินข่าว เรื่องที่สามีของตนถูกจับกุม อี้ฮวาอี๋ก็รีบเดินทางไปที่คุกของกรมอาญาด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เมื่อมาถึงนางรีบเดินตามทหารยามไปจนถึงห้องขังของไป๋เสียนเว่ย กลิ่นอับชื้นและเสียงโซ่ตรวนของนักโทษในคุกดังก้องไปทั่ว
"ท่านพี่..." นางเอ่ยเรียกเบา ๆ เมื่อเห็นร่างของสามีนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่บนพื้นที่สกปรก
ไป๋เสียนเว่ยหันมา ดวงตาฉายแววโกรธแค้น "มาทำไม? มาดูข้าตกต่ำหรือ?"
"ข้ามาเยี่ยมท่าน ข้าต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่" อี้ฮวาอี๋ตอบ พยายามควบคุมน้ำเสียง
"เกิดอะไรขึ้นรึ?" ไป๋เสียนเว่ยหัวเราะเยาะ "บิดาของเจ้าทรยศข้า! ทุกอย่างที่ข้าทำล้วนเป็นคำสั่งของเขา แต่เขากลับโยนความผิดทั้งหมดมาให้ข้าเพียงคนเดียว!"
อี้ฮวาอี๋สีหน้าซีดเผือด "ท่านพ่อคงมีเหตุผล..."
"เหตุผล? เหตุผลของเขาคือการเอาตัวรอด! เขาทิ้งข้าให้จมน้ำเพียงลำพัง!" ไป๋เสียนเว่ยตะโกน ลุกพรวดขึ้นยืน เขาเดินเข้ามาใกล้ลูกกรงเหล็ก ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ "เจ้าคงภูมิใจนักที่มีบิดาเห็นแก่ตัว ข้าผิดเองที่หลงเชื่อและแต่งงานกับลูกสาวของคนชั่วช้าเช่นนี้!"
"ท่านพี่ ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริง ๆ..." นางพยายามอธิบาย พร้อมกับน้ำใส ๆ ไหลรินออกมาจากดวงตา
"ไม่รู้? เหอะ ๆ" ไป๋เสียนเว่ยเยาะหยัน "เจ้าย่อมต้องรู้ดีว่าบิดาของเจ้าเป็นคนเช่นไร แต่เจ้าก็ยังหลอกให้ข้าเชื่อใจเขา ให้ข้าทำตามคำสั่งของเขา จนต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้!" เขากระแทกกำปั้นใส่ลูกกรงเหล็ก เสียงดังสนั่นทำให้อี้ฮวาอี๋สะดุ้งเฮือก
"ท่านพี่ ใจเย็น ๆ ก่อน ข้าจะต้องหาทางช่วยท่านออกไปให้จงได้" อี้ฮวาอี๋พยายามปลอบ พลางครุ่นคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้น มีจุดไหนที่ผิดพลาดจนทำให้สถานการณ์พลิกผันไป
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น ทั้งที่นางพยายามแก้ไขทุกอย่างให้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ทำไม... ทำไมถึงกลายเป็นเช่นนี้?
ความทรงจำจากชาติก่อนผุดขึ้นมาในหัว อี้ฮวาอี๋พยายามนึกทบทวน ในชาติก่อน ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ไม่มีการกล่าวหา ไม่มีการทรยศหักหลัง ครอบครัวของนางเจริญรุ่งเรืองอย่างมั่นคง แล้วอะไรกันที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป?
ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามา หากสิ่งที่นางรู้จากชาติก่อนไม่อาจเชื่อถือได้อีกต่อไป ต่อไปนางจะทำอย่างไร? จะปกป้องครอบครัวได้อย่างไร?
"ไปให้พ้น!" ไป๋เสียนเว่ยตวาด "ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า ไม่อยากเห็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับตระกูลอี้อีก!"
อี้ฮวาอี๋จำใจต้องลุกขึ้นยืน มือสั่นเทาขณะเช็ดน้ำตา นางต้องหาทางแก้ไขสถานการณ์นี้ให้จงได้ นางจะต้องไปพูดคุยกับบิดาให้รู้เรื่อง และจะต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
“ท่านพี่รักษาตัวด้วย...”
อี้ฮวาอี๋ก้าวออกจากห้อง หัวใจเต้นรัวด้วยความกังวล ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อรักษาชีวิตของตนเองและครอบครัวเอาไว้ให้จงได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีชั่วร้ายเพียงใดก็ตาม...
