บทที่ 3
ส่วนคนที่เป็นผู้ลงมือตัวจริง ในเวลานี้กำลังเดินหมากและนั่งจิบชาอยู่กับฮ่องเต้ในที่ประทับส่วนพระองค์อย่างสบายอารมณ์
"หมิงเหยา...ข้าแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง แม่ทัพผู้เย็นชาที่ได้ชื่อว่าสามารถสังหารศัตรูได้ในชั่วพริบตา บัดนี้กลับมานั่งวางแผนกลั่นแกล้งสตรีในงานชมดอกไม้เยี่ยงนี้" ฮ่องเต้ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะยกถ้วยชาในมือขึ้นมาดื่ม
หานซิงเยว่ผู้ที่เป็นผู้ลงมือในแผนการนี้ ยังคงมีสีหน้าสงบนิ่งแม้จะได้ยินคำพูดประชดประชันของฮ่องเต้ เขายังคงนั่งเฉยด้วยท่าทางสบายใจ ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงดอกไม้นั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
"เป็นเพราะไทเฮาทรงมีเมตตา ไม่อย่างนั้นแผนการนี้คงไม่อาจสำเร็จได้พ่ะย่ะค่ะ"
ฮ่องเต้หัวเราะออกมาเบา ๆ "ไหนลองเล่ามาซิว่าเจ้าไปอ้อนวอนเสด็จแม่ของข้าอย่างไรกัน ถึงได้ทรงยอมช่วยเจ้าในเรื่องนี้"
“ข้าก็แค่เสนอว่าจะช่วยหาชาอู่หลงชั้นเลิศ จากเขาอู่อี๋ซานทางตอนใต้มาถวายไทเฮาในทุกฤดูกาลเก็บเกี่ยว" หานซิงเยว่ตอบไปตามความจริง ทำให้คนฟังได้แต่หัวเราะออกมา
“เจ้ามันก็ช่างเหลือเกินจริง ๆ มีอย่างที่ไหนถึงกล้าไปดึงเสด็จแม่ของเราให้มาร่วมมือด้วย คิดไม่ถึงว่าวิธีการของเจ้า จะร้ายกาจยิ่งกว่าแผนการพวกสนมนางในของข้าที่ชอบใช้กลั่นแกล้งกันเสียอีก” พระองค์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ผสมผสานระหว่างความขบขันและความประหลาดใจ
หานซิงเยว่แสร้งทำเป็นไม่สนใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปเคลื่อนหมากบนกระดานอย่างแผ่วเบา “หากฝ่าบาทไม่ตั้งใจเดินหมากให้ดี ๆ เห็นทีตานี้คงได้แพ้ข้าเป็นรอบที่สาม”
"นะ...นี่เจ้าไม่คิดจะออมมือให้ข้าเลยใช่ไหม?!" ฮ่องเต้ตรัสพลางจ้องมองหมากบนกระดานแล้วกำมือแน่น "ปกติแล้วพวกเหล่าขุนนางหรือบรรดาที่ปรึกษาของข้า ล้วนแล้วแต่พยายามจงใจเล่นให้แพ้เพื่อหวังจะเอาใจข้า แต่เจ้ากลับ..."
หานซิงเยว่ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "หากข้าออมมือก็เท่ากับไม่ให้เกียรติฝ่าบาท อีกทั้งยังทำให้ฝ่าบาทไม่ได้ฝึกฝนฝีมืออย่างเต็มที่"
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองหานซิงเยว่อย่างพินิจ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ ด้วยความพอพระทัย "ดี...ดีมาก หมิงเหยา นี่แหละคือเหตุผลที่เราไว้วางใจเจ้า เจ้าไม่เคยกลัวที่จะพูดความจริงกับเรา แม้ในยามที่ความจริงนั้นอาจไม่เป็นที่พอใจก็ตาม"
“ฝ่าบาทเองก็ควรเลิกออมมือให้คู่ต่อสู้เสียทีนะพ่ะย่ะค่ะ” คำพูดนั้นคล้ายกับจะส่อความหมายอะไรบางอย่าง
ฮ่องเต้หัวเราะเบาๆ "เจ้านี่มันช่าง..." พระองค์เอื้อมมือไปจับหมากตัวหนึ่ง แต่แล้วก็ชะงัก ทรงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “เรื่องหลักฐานที่เจ้าส่งให้ขุนนางฝ่ายตรวจสอบเกี่ยวกับอี้หย่งจินนั้น ดำเนินไปถึงไหนแล้ว?"
"ทุกอย่างเป็นไปตามแผนพ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้หลักฐานที่ส่งไปอาจไม่เพียงพอที่จะกำจัดอี้หย่งจินได้ แต่ก็มากพอที่จะทำให้เขาถูกกรมอาญาสอบสวนอย่างเข้มงวด อย่างน้อยเขาคงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในช่วงนี้"
"แต่บุตรเขยของเขาที่เพิ่งได้รับตำแหน่งใหม่คงดิ้นไม่หลุดสินะ ไม่ใช่ว่าเจ้าทำลงไปเพราะมีความแค้นส่วนตัวหรอกใช่ไหม" ฮ่องเต้หรี่ตามองหลานชายพลางครุ่นคิดถึงเรื่องที่เขาเพิ่งจัดการลงไป
"ข้าย่อมไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องของแผ่นดินพ่ะย่ะค่ะ" หานซิงเยว่ตอบอย่างหนักแน่น แต่สายตาของเขาฉายแววบางอย่างที่ยากจะคาดเดา
"อ้อ?" ฮ่องเต้ยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ยังคงมีรอยยิ้มแฝงอยู่ที่มุมปาก
จากนั้นทั้งสองต่างก็หันไปสนใจกระดานหมากตรงหน้าต่อ เสียงหมากกระทบกระดานดังขึ้นเป็นจังหวะ ผสานกับเสียงใบไม้ไหวในสายลมอ่อน กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาเป็นระยะ ท่ามกลางบรรยากาศสงบในอุทยานหลวง
เช้าวันรุ่งขึ้น บรรยากาศในท้องพระโรงเต็มไปด้วยความตึงเครียด ราวกับสายลมหนาวในฤดูสารท เหล่าขุนนางยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยท่าทางเคร่งขรึม
ทันใดนั้น ขุนนางผู้หนึ่งก้าวออกมา ในมือถือม้วนไผ่ผูกแถบผ้าแดง สัญลักษณ์ของฎีการ้องทุกข์เร่งด่วน เขาคุกเข่าลงและกล่าวเสียงสั่น "ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีฎีการ้องทุกข์เกี่ยวกับรองเสนาบดีอี้หย่งจินพ่ะย่ะค่ะ"
เสียงฮือฮาดังขึ้นในท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ อี้หย่งจินที่ยืนอยู่ในแถวหน้าสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ยังคงพยายามรักษาความสงบนิ่งเอาไว้
เมื่อฮ่องเต้ทรงรับฎีกามาอ่านเนื้อความ พระพักตร์ก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความขุ่นเคือง ก่อนจะตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา "อี้หย่งจิน เจ้ามีอะไรจะกล่าวแก้ตัวหรือไม่?"
อี้หย่งจินค้อมกายคำนับ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมให้นิ่ง "กระหม่อมไม่ทราบว่าตนเองได้กระทำความผิดประการใดพ่ะย่ะค่ะ"
"มีการกล่าวหาว่าเจ้าทุจริตเงินงบประมาณในการสร้างเขื่อน ใช้วัสดุคุณภาพต่ำ มีการใช้แรงงานอย่างกดขี่ และปลอมแปลงเอกสารในการเบิกจ่ายโดยไม่ผ่านการตรวจสอบ เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้เช่นไร!?"
อี้หย่งจินค้อมกายคำนับ ใบหน้ายังคงดูสงบนิ่งดุจผืนน้ำในสระบัว "ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขออนุญาตชี้แจงความจริง พ่ะย่ะค่ะ"
“ว่ามา!”
เมื่อได้รับอนุญาต อี้หย่งจินก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นคง พลางหยิบรายงานออกมาจากแขนเสื้อ สายตาของเขาฉายแววมั่นใจ ราวกับได้เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์เช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว
"กระหม่อมทราบดีว่าการดำเนินงานครั้งนี้อาจถูกใส่ร้ายจากผู้ไม่หวังดี จึงได้เก็บรวบรวมหลักฐานทุกอย่างไว้อย่างละเอียด" อี้หย่งจินกล่าว พลางส่งสายตาเย็นชาไปยังขุนนางที่ออกหน้าถวายฎีกา
“ข้ารายงานไปตามหลักฐาน หากท่านรองเสนาบดีอี้มีข้อมูลมาหักล้างในเรื่องนี้ก็รีบนำออกมาเถิด”
พอได้ยินเช่นนั้น อี้หย่งจินก็หยิบสิ่งที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าออกมาแสดง "นี่คือบันทึกรายจ่ายทั้งหมดในการสร้างเขื่อน เรื่องเงินทองที่ใช้ในการสร้างเขื่อนนั้น เป็นเพราะต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งของเขื่อนอย่างเร่งด่วน จึงจำเป็นต้องใช้หินและทรายซึ่งมีราคาสูงกว่าหินท้องถิ่นแต่ทนทานกว่ามาก ทำให้เขื่อนสามารถต้านทานสายน้ำอันเชี่ยวกรากและภัยธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้น"
