บทที่ 3
เมื่อในวันนี้หลิวฟ่านซีไม่จำเป็นต้องไปที่ค่ายทหาร ซิ่วชิงและเฉินห่าวจึงมีโอกาสได้ตามนางมาที่เรือนรับรองด้วย ทันทีที่เฉินห่าวเห็นเว่ยซูและอู๋ทง ก็ส่งเสียงเห่าทักทายด้วยการเห่าเสียงดัง
เขาเริ่มเห็นข้อดีของการที่สามารถสื่อสารด้วยภาษาสุนัขได้แล้ว...
“โฮ่ง ๆ ๆ”
“โฮ่ง ๆ ๆ”
ทั้งต้าฮุยและต้าเฮยส่งเสียงเห่าโต้ตอบกลับมา ทั้งคู่ไม่ได้มีท่าทีดุร้าย แต่กลับกระดิกหางด้วยความตื่นเต้นดีใจ ราวกับว่าทั้งสามกำลังพูดคุยกัน
“นี่พี่พูดภาษาสุนัขได้จริง ๆ สินะ”
หลิวฟ่านซีแอบกระซิบถามเบา ๆ เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง นางจำที่เฉินห่าวเคยบอกได้ว่า นอกจากจะพูดภาษาคนได้ เขายังสามารถสื่อสารภาษาสุนัขได้อีกด้วย ดังนั้นพวกอู๋ทงและเว่ยซูก็คงมีความสามารถนี้เช่นเดียวกัน
“โฮ่ง!” เฉินห่าวยักคิ้วให้คนถามแทนคำตอบ
ทว่าการกระทำทุกอย่างของหลิวฟ่านซี ล้วนอยู่ในสายตาของหานซิงเยว่ ถึงแม้นางจะพูดด้วยเสียงกระซิบกระซาบ แต่ด้วยทักษะของคนฝึกยุทธ์ ทำให้เขามีโสตสัมผัสดีกว่าคนปกติทั่วไป อีกทั้งยังเข้าใจศาสตร์แห่งการอ่านริมฝีปาก ทำให้ได้ยินทุกถ้อยคำของนางได้อย่างชัดเจน
หานซิงเยว่มั่นใจว่าตนเองไม่ได้ฟังผิด เขาได้ยินหลิวฟ่านซีเรียกเจ้าสุนัขขนปุยตัวนั้นว่าพี่จริง ๆ...
หากยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ โค่ยตงซื่อก็ลอบถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าได้ยินว่าก่อนหน้านี้คุณหนูหลิวมีสัญญาหมั้นหมายกับตระกูลไป๋ ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นมีตาแต่ไร้แววหรืออย่างไร ถึงได้ปฏิเสธสตรีที่หน้าตางดงามเช่นนี้ได้ลงคอ”
ตอนแรกที่โค่ยตงซื่อได้ยิน ยังคิดว่าคุณหนูหลิวคงจะมีหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ผิวพรรณซีดเซียวและอมโรค แต่พอได้มาเห็นกับตาตนเอง กลับเหมือนโดนไม้หน้าสามฟาดเข้าที่ศีรษะอย่างจัง เพราะนอกจากนางจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดแล้ว แต่กลับดูร่าเริงแจ่มใส เวลาที่นางคลี่ยิ้มช่างไม่ต่างอะไรกับแสงอาทิตย์ในยามรุ่งอรุณ
“...” หานซิงเยว่ไม่ได้ตอบอะไร ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อไป
“เท่าที่ข้าเห็นนอกจากนางจะมีหน้าตางดงามแล้ว ท่าทางยังไม่ได้มีท่าทีหรืออาการเจ็บป่วยเหมือนดังเช่นข่าวลือ บางทีเป็นเพราะหลิวโหวเป็นคนหวงบุตรสาวมาก เลยอาจให้คนกุเรื่องอาการเจ็บป่วยของนางขึ้นมาบังหน้า จะได้ไม่ต้องมีตระกูลใดมาทาบทามบุตรสาวให้ออกเรือน” โค่ยตงซื่อตั้งข้อสงสัย
“จะมีบิดามารดาดี ๆ ที่ไหน ไม่อยากให้บุตรสาวแต่งงานแล้วยกเรื่องการเจ็บป่วยมาอ้าง” หานซิงเยว่เริ่มนึกสงสัยว่านี่เป็นกุนซือของเขาที่เก่งกาจในเรื่องแผนการอันแยบยลจริง ๆ หรือไม่ เหตุใดถึงได้คิดเรื่องไม่เป็นเรื่องออกมาได้
“มันก็ไม่แน่หรอกนะ หลิวโหวบิดาของนางเป็นคนมีนิสัยไม่เหมือนใคร...แต่ถึงอย่างนั้น ข้ากลับคิดว่าท่านแม่ทัพช่างเป็นผู้มีความสามารถโดยแท้จริง เห็นเงียบ ๆ แต่กลับมีสายตาเฉียบคม มองเห็นความงามและความสามารถของคุณหนูหลิวได้อย่างลึกซึ้ง”
“เห็นทีงานที่ค่ายทหารของท่านกุนซือคงจะน้อยเกินไปกระมัง เลยทำให้มีเวลาว่างมาคอยยุ่งเรื่องผู้อื่นเช่นนี้” น้ำเสียงเย็นชาตอบกลับดั่งสามารถได้ยินถ้อยคำในความคิดของอีกฝ่าย ทำให้โค่ยตงซื่อต้องรีบหุบปากในทันที
ที่เรือนรับรองฝั่งตะวันตก ของจวนหย่งจิ้งโหว ปกติแล้วจะไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามา ดังนั้นคนที่อยู่ที่นี่จึงมีแต่เพียงคนสนิทของหานซิงเยว่เท่านั้น ท่านหญิงเสวียนชิงเองแม้อยากมาดูหลิวฟ่านซีฝึกสุนัขด้วย แต่ในเวลานี้นางจำเป็นต้องรับบทบาทเป็นคนป่วยใกล้ตายต่อไป จึงไม่สามารถออกมาจากเรือนพักได้
นางจึงสั่งให้แม่นมหลี่มาคอยดูแล พร้อมกำชับให้ช่วยจับตาดูลูกชายตัวดี ไม่ให้ทำตัวดุดันใส่หลิวฟ่านซี เหมือนเช่นที่เขาทำกับทหารในค่ายของตน
“วันนี้ข้าอยากให้ท่านแม่ทัพ ลองฝึกการเคลื่อนไหวร่วมกันกับต้าฮุยและต้าเฮยเจ้าค่ะ” หลิวฟ่านซีกล่าวขึ้น เมื่อเห็นว่าหานซิงเยว่กับโค่ยตงซื่อเดินเข้ามาในลานฝึก
“ได้...เจ้าว่ามาจะให้ข้าทำเช่นไร”
“เมื่อวานนี้ท่านแม่ทัพได้แสดงเพลงดาบตระกูลหานให้ดู ข้าคิดว่าต้าฮุยและต้าเฮยน่าจะพอจดจำการเคลื่อนที่ของท่านแม่ทัพได้คร่าว ๆ แล้ว ในวันนี้เลยอยากให้ลองฝึกการเคลื่อนไหวไปพร้อมกันเจ้าค่ะ”
คำพูดของหลิวฟ่านซี ทำให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของหานซิงเยว่ลอบมองหน้ากัน
“คุณหนูหลิวหมายความว่าเจ้าสุนัขพวกนี้เป็นอัจฉริยะเช่นนั้นหรือขอรับ?” จิ่งสงเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองที่ได้รับการถ่ายทอดให้ฝึกเพลงดาบตระกูลหาน ทุกวันนี้ยังจำได้แค่เพียงแต่ท่าเบื้องต้น การก้าวเท้ายังคงก้าวผิด ๆ ถูก ๆ
แต่นี่นางกลับบอกว่าเจ้าสุนัขทั้งสองสามารถจดจำการเคลื่อนไหวของท่านแม่ทัพได้ เพียงแค่ดูเพียงครั้งเดียวอย่างนั้นหรือ?
หลิวฟ่านซีพยักหน้าแทนคำตอบ...
ใช่สิ...เว่ยซูลูกทีมของตนเป็นอัจฉริยะที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสาร ด้วยความที่เขามีความจำเป็นเลิศ เพียงมองครั้งเดียวก็สามารถจดจำรายละเอียดในสิ่งที่เห็นได้อย่างครบถ้วน จะหาใครเก่งกาจเท่าเว่ยซูของนางคงไม่มีใครเทียบได้จริง ๆ
“ถ้าดูจากการเปลี่ยนแปลงของเจ้าสองตัวนี้ จะบอกว่าเป็นอัจฉริยะก็คงไม่เกินจริงนัก นี่ถ้าหากคุณหนูหลิวบอกว่าพวกมันพูดได้ ข้าก็ยินดีที่จะเชื่อเช่นนั้น!” โค่ยตงซื่อส่งสายตาตำหนิจิ่งสงที่สงสัยในตัวของนาง บัดนี้เขาแปรพักตร์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในเวลานี้หากใครจะตำหนิเขาว่าไม่อาจผ่านด่านสาวงามไปได้ เขาก็ไม่คิดจะโต้แย้งแต่ประการใด
ทว่าคำพูดของโค่ยตงซื่อทำเอาหลิวฟ่านซี และพวกพ้องทั้งสามถึงกับสะดุ้งโหยง...
นางรีบคลี่ยิ้มกลบเกลื่อนและอธิบายถึงสิ่งที่จะต้องทำในวันนี้ “เอาเป็นว่าเราจะลองซ้อมการเคลื่อนไหวกันหนึ่งรอบ จากนั้นจะเริ่มการฝึกที่แท้จริงเจ้าค่ะ”
“ได้”
หานซิงเยว่รับดาบจากจิ่งสงที่ส่งมาให้ เว่ยซูและอู๋ทงที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วก็เข้ามาประจำที่
เมื่อคืนนี้เว่ยซูได้อธิบายการเคลื่อนไหวของหานซิงเยว่ให้อู๋ทงได้เข้าใจอีกครั้ง ทั้งคู่ตั้งใจซักซ้อมกันอยู่นานสองนาน กว่าจะได้นอนก็จนเกือบรุ่งสาง ถึงแม้จะยังไม่สามารถทำได้เต็มร้อย แต่อย่างน้อยก็จดจำท่าทางการเคลื่อนไหวของหานซิงเยว่ได้เกินกว่าครึ่ง
“งั้นก็เริ่มกันเลย”
ร่างสูงสง่าถือดาบคู่ใจก้าวเข้ามาในลานกว้าง พร้อมกับสุนัขทั้งสองยืนขนาบข้างทั้งซ้ายและขวา เมื่อหานซิงเยว่เริ่มเคลื่อนไหว ต้าฮุยและต้าเฮยต่างก็เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับเขา ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของดาบที่กวัดแกว่งไปในอากาศ
หลิวฟ่านซีไม่ได้ถือสาเรื่องที่ตนเป็นสตรีแต่กลับมาอยู่ท่ามกลางเหล่าบุรุษ อย่างไรก็ตามนางเชื่อว่าหานซิงเยว่คงไม่มีทางปล่อยให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียงในเรื่องนี้
ทหารตรงหน้าทุกคนล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ย่อมต้องไม่มีใครกล้าปริปากเรื่องของนางอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่ได้คิดมากเรื่องธรรมเนียมระหว่างหญิงชายให้เสียเวลา