บทที่ 2
“เฮ้อ...ความจริงแล้วคุณหนูหลิวผู้นั้นทั้งอ่อนแอ ทั้งขี้โรค ข้ายังไม่ได้ทันทำอะไร นางก็เป็นลมล้มลงไปกองอยู่กับพื้น นี่ถ้ารู้ว่าตัวเองป่วยหนัก ทำไมไม่สู้นอนพักอยู่กับบ้าน สุดท้ายพวกเรากลับถูกตำหนิทั้งที่ไม่ทันได้ทำอะไรนางสักหน่อย”
กู้อวิ๋นปิงสบโอกาสเลยรีบก่นด่าหลิวฟ่านซีเสียยกใหญ่ อย่างไรเสียอีกสองคนตรงหน้า ก็ล้วนแต่เป็นคนที่ถูกคำครหาด้วยกันทั้งนั้น
“คุณหนูอี้สิน่าเห็นใจที่สุด เจ้าไม่มีส่วนรู้เรื่องนี้แท้ ๆ แต่กลับต้องถูกนินทาไปด้วย” เจียงซู่เซียวตีหน้าเศร้า พลางถอนหายใจออกมาด้วยท่าทางรู้สึกผิด
“ช่างเถอะ...ข้าไม่ได้ใส่ใจ”
อี้ฮวาอี๋รู้ดีว่าเจียงซู่เซียวจงใจยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อชักแม่น้ำทั้งห้า ตนและกู้อวิ๋นปิงจะได้คิดว่าทุกคนมีศัตรูคนเดียวกัน
ความจริงนางเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะมีแผนการเช่นไร...หากเป็นไปได้ การร่วมมือกัน เพื่อกำจัดหลิวฟ่านซีไปให้พ้นหูพ้นตา ย่อมเป็นการดีกว่าปล่อยทิ้งเอาไว้โดยไม่ทำอะไร
“ความจริงแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นภายในจวนหย่งจิ้งโหว ไม่ควรมีคนนอกล่วงรู้ได้ นอกเสียจาก...” เจียงซู่เซียวพูดแล้วหยุดลงกะทันหัน คล้ายกับไม่กล้าพูดออกมา ทว่าอี้ฮวาอี๋ช่วยพูดต่อประโยคให้จนจบ
“นอกเสียจากว่า นางจงใจจ้างคนให้ปล่อยข่าวเรื่องนี้ออกไป...เหมือนกับที่ทำกับข้าและคุณชายไป๋”
เรื่องที่เกิดขึ้นอี้ฮวาอี๋มั่นใจว่าจะต้องเป็นแผนการชั่วร้ายของหลิวฟ่านซี เพราะหลังจากกลับมาทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในร้านผ้าเฉิงชุน ก็พบว่ามีช่องโหว่อยู่มากมาย แม้ไม่อยากยอมรับว่าตนพลาดท่าตกหลุมพรางของอีกฝ่ายเข้าเต็ม ๆ
“ว่าแต่พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้คุณหนูหลิวฟ่านซีก็มาที่จวนหย่งจิ้งโหวเช่นเดียวกัน”
“ว่าไงนะ! แล้วนี่นางอยู่ที่ไหนล่ะ อย่าบอกนะว่าเจ้าเป็นคนเชิญนางมา?” อี้ฮวาอี๋ขมวดคิ้วมุ่น กวาดสายตามองไปรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นผู้ใดจึงหันกลับมาจ้องหน้าคนพูดเพื่อหาคำตอบ
“ไม่ใช่ข้าเชิญนางมาสักหน่อย ท่านหญิงเสวียนชิงต่างหากที่เป็นคนเชิญ ก่อนหน้าคุณหนูหลิวก็เพิ่งมาได้ไม่นาน...” เจียงซู่เซียวชักสีหน้า ไม่รู้ว่าหลิวฟ่านซีผู้นั้นมีอะไรดีนักหนา ถึงได้เป็นที่ถูกใจของท่านหญิงเสวียนชิงเสียได้
“ทำไมนางถึงได้รับเชิญล่ะ ข้าได้ยินว่าท่านหญิงเสวียนชิงป่วยหนักใกล้ตายแล้วไม่ใช่หรือ?” กู้อวิ๋นป๋อพูดอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบหันรีหันขวางงยกมือขึ้นตะครุบปาก กลัวว่าจะมีผู้ใดได้ยินสิ่งที่นางโพล่งออกมา
เรื่องนี้ใคร ๆ ต่างโจษจันกันไปทั่ว ไม่อย่างนั้นมีหรือที่คนอย่างนางจะวิ่งแจ้นมาประจบประแจงหลานสาวของฮูหยินรองเจียงถึงที่นี่ เป็นเพราะรู้ดีว่าหากท่านหญิงเสวียนชิงมีอันเป็นไปแล้วละก็ อำนาจในการปกครองเรือนหย่งจิ้งโหว จะต้องตกอยู่ในมือของฮูหยินรองเจียงอย่างไม่ต้องสงสัย
“ข้าคิดว่าหลิวฟ่านซีผู้นี้แท้จริงแล้ว คงเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าคนอื่นแสร้งทำตัวอ่อนแอ แต่เบื้องหลังกลับประจบสอพลอ ท่านหญิงเองก็คงถูกนางหลอกเช่นเดียวกัน” อี้ฮวาอี๋กล่าวพร้อมกับยกถ้วยชาขึ้นมาจิบช้า ๆ
“ถ้าเช่นนั้นเราก็ควรจะหาทางโต้คืนกลับไปบ้าง” เจียงซู่เซียวกล่าวออกมาอย่างหมายมาด มือกำผ้าเช็ดหน้าเอาไว้แน่น
“คุณหนูเจียงมีแผนการแล้วอย่างนั้นหรือ?” ดวงตาของกู้อวิ๋นปิงทอประกาย เรื่องที่เกิดขึ้นในงานชมดอกไม้ นางยังนึกเจ็บใจไม่หาย หากสามารถชำระความแค้นในครั้งนี้ได้ นางจะยินดีเป็นที่สุด!
“แน่นอน...หากไม่มีแผนการในใจ ข้าคงไม่เชิญพวกเจ้ามาร่วมหารือกันในวันนี้หรอก”
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบพูดมาเถิด” กู้อวิ๋นปิงส่งสายตาเป็นประกาย เรื่องกลั่นแกล้งคนขอให้บอก นางชื่นชอบการรุมรังแกผู้อ่อนแอกว่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว!
คำพูดของกู้อวิ๋นปิงกับอี้ฮวาอี๋ ทำให้เจียงซู่เซียวคลี่ยิ้มด้วยความพึงพอใจ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างมีศัตรูคนเดียวกัน เรื่องขอความร่วมมือจากอีกฝ่ายย่อมไม่ใช่ปัญหา คิดได้ดังนี้นางจึงตัดสินใจพูดออกมา
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ควรจะช่วยฉีกหน้ากากของนางออกมาให้ทุกคนได้เห็นดีหรือไม่ ข้าได้ยินว่าต้นเดือนหน้า ฮูหยินใหญ่ของจวนท่านแม่ทัพฟ่านชุนเหยา จะจัดงานเลี้ยงชุมนุมกวีขึ้น ข้าเชื่อว่านอกจากพวกเราจะได้รับเชิญแล้ว หลิวฟ่านซีก็คงได้รับเชิญเช่นเดียวกัน”
“เหอะ...เจ้าไม่เห็นวันงานเลี้ยงชมดอกไม้ที่ผ่านมาหรือ ฟ่านฮุ่ยเจินผู้นั้น ทำตัวเป็นคนรักความยุติธรรม ช่วยออกหน้าปกป้องหลิวฟ่านซี” กู้อวิ๋นปิงนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ก็คับแค้นใจยิ่งนัก
“ข้ากลับคิดว่านี่เป็นโอกาสดี ที่จะทำให้นางขายขี้หน้า จนไม่กล้าออกไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนไหนอีกตลอดไป!...” เจียงซู่เซียวยิ้มอย่างหมายมาด ก่อนจะโน้มตัวไปกระซิบบอกแผนการร้ายแก่ทุกคน...
“ช่างเป็นแผนการที่ดีจริง ๆ”
ทั้งสามต่างส่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน อี้ฮวาอี๋มองสบผสานตากับเจียงซู่เซียวอย่างมีเลศนัย ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ข้าว่าไหน ๆ คุณหนูหลิวก็มาที่จวนหย่งจิ้งโหวในวันนี้แล้ว พวกเราน่าจะหาโอกาสไปทักทายนางเสียหน่อยดีหรือไม่”
เมื่อจู่ ๆ นางก็มีความคิดคันไม้คันมืออยากจะหาเรื่องหลิวฟ่านซีขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ส่วนเรื่องแผนร้ายในวันงานนั่นก็เป็นอีกเรื่อง อย่างไรเสียก็ต้องหาทางกำจัดอีกฝ่ายให้ไปพ้นหูพ้นตาให้จงได้!
อีกด้านหนึ่ง...หานซิงเยว่สั่งให้คนนำต้าฮุยและต้าเฮยกลับมาที่จวนเป็นที่เรียบร้อย หลังจากหลิวฟ่านซีมาช่วยฝึกฝนพวกมันที่ค่ายทหารในวันนั้น ทั้งคู่ก็ดูสงบเสงี่ยมและเชื่อฟังดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา เพียงแต่นอกจากหานซิงเยว่แล้ว เจ้าพวกลูกสุนัขกลับไม่ยอมฟังคำสั่งของใครแม้แต่คนเดียว
หานซิงเยว่ไม่มีทางเลือก เขาจำเป็นต้องพาพวกมันกลับมาที่จวนด้วยตนเอง สุนัขทั้งสองเองก็ช่างเฉลียวฉลาดราวกับฟังภาษาคนรู้เรื่อง ทั้งคู่ไม่ทำตัววุ่นวาย เขาสั่งให้ทำอะไรมันก็สามารถปฏิบัติและทำตามได้เป็นอย่างดี ซ้ำยังทำตัวประจบประแจง จนหานซิงเยว่นึกว่าตนหยิบสุนัขมาผิดตัว
“คุณหนูหลิวมาแล้วขอรับ”
จิ่งสงรีบมารายงานหลังจากขับรถม้าไปรับตัวหลิวฟ่านซีมาที่จวนหย่งจิ้งโหวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
วันนี้หานซิงเยว่ไม่มีธุระที่ค่ายทหาร อีกทั้งยังมีนัดกับคุณหนูหลิวที่โอ้อวดว่าจะแสดงการฝึกสุนัขอารักขาให้เขาได้เห็น ส่วนโค่ยตงซื่อที่ไม่มีอะไรทำ เลยขอตามมารอดูการฝึกที่จวนตระกูลหานด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อมาถึงจวนหย่งจิ้งโหว หลิวฟ่านซีถือโอกาสแวะไปคารวะท่านหญิงเสวียนชิงก่อนเป็นอันดับแรก นางได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากคนในเรือนสราญใจเหมือนเช่นเคย
เช้าวันนี้ใบหน้าของท่านหญิงเสวียนชิงดูสดใสมากกว่าเมื่อวาน ชนิดที่เรียกว่าดูผิดหูผิดตา ตามร่างกายเริ่มกลับมามีน้ำมีนวล ส่วนอาการไอก็แทบไม่มีให้เห็นอีกต่อไป หลังจากท่านหมอลู่รู้ว่าท่านหญิงถูกพิษอะไร ก็สามารถรักษาได้ตรงจุดและทันท่วงที เพราะหากช้ากว่านี้อีกเพียงนิดเดียวก็คงไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้
เมื่อหลิวฟ่านซีได้พูดคุยและอยู่เป็นเพื่อนท่านหญิงรับประทานอาหารเช้าแล้ว จิวซินก็ได้รับคำสั่งให้พานางไปยังเรือนรับรองอีกฝั่งหนึ่งของเรือนสราญใจ
หานซิงเยว่สั่งให้คนทำตามรายละเอียดที่หลิวฟ่านซีกำชับ ไม่ว่าจะเป็นเรือนที่พักสำหรับสุนัขทั้งสอง ระบุเอาไว้ว่าไม่เอาคอกแต่ขอให้เป็นห้องนอนเหมือนกับคนปกติทั่วไป ถ้าเป็นไปได้ขอเป็นสาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้ม ไม่เอาพวกทหารร่างกายบึกบึน ส่วนเรื่องอาหารการกินก็ให้งดอาหารจำพวกของสด ให้จัดอาหารแบบที่พวกทหารในค่ายได้กิน โดยอ้างว่าเป็นการฝึกปรับตัว สุนัขจะได้คุ้นเคยกับผู้คนและลดความดุร้ายลง
ถึงแม้รายละเอียดต่าง ๆ ที่หลิวฟ่านซีร้องขอจะดูแปลกประหลาดไปบ้าง แต่ผลลัพธ์หลังจากนางแสดงให้ทุกคนเห็นเป็นที่ประจักษ์ จึงไม่มีผู้ใดกล้าปริปากคัดค้านในเรื่องนี้
“คารวะท่านแม่ทัพกับท่านกุนซือเจ้าค่ะ”
หลิวฟ่านซีประสานมือ ย่อกายคารวะผู้ที่มารออยู่ด้วยท่าทางนุ่มนวล นางไม่ได้แต่งกายเป็นบุรุษเหมือนก่อนหน้า เพราะไม่จำเป็นต้องปลอมตัวไปที่ค่ายทหาร
ชุดที่หลิวฟ่านซีสวมใส่ในวันนี้ เป็นชุดกระโปรงสีฟ้าสดใส ปักลวดลายดอกกล้วยไม้ด้วยดิ้นเงินสวยงามราวกับดอกไม้จริง ยามชายกระโปรงพลิ้วไหวก่อเกิดประกายวิบวับเมื่อกระทบกับแสงแดดอ่อน ๆ บนศีรษะประดับด้วยปิ่นรูปดอกกล้วยไม้เข้าชุดกัน ตัวหยกมีสีขาวบริสุทธิ์ แซมด้วยเกล็ดทองเล็ก ๆ ไม่มากจนเกินไป เพื่อขับเน้นให้ตัวดอกไม้ดูล้ำค่า
ทำเอาโค่ยตงซื่อที่เพิ่งเคยเห็นคุณหนูหลิวในชุดของสตรีอย่างเต็มตา ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงไปชั่วขณะ
หานซิงเยว่เห็นกุนซือของตน ปกติเป็นคนเคร่งขรึมไม่เคยเสียกิริยาเช่นนี้มาก่อน เลยทำเสียงกระแอมไอออกมา เพื่อเตือนสติของอีกฝ่ายไม่ให้เสียมารยาท
“คะ...คุณหนูหลิวเชิญทางนี้ขอรับ” โค่ยตรงซื่อรีบเชิญแม่นางน้อยที่มีใบหน้างดงามประดุจรูปวาดเทพธิดาเข้าไปที่ลานกว้างด้วยท่าทางเก้อเขิน จากนั้นเขากับหานซิงเยว่ขอตัวไปรับต้าฮุยกับต้าเฮยจากผู้ดูแล
เรือนรับรองฝั่งตะวันตกของเรือนสราญใจนั้นมีขนาดกว้างขวาง ในอดีตแม่ทัพหานจงอู่ บิดาของหารซิงเยว่มักใช้เรือนรับรองแห่งนี้ต้อนรับบรรดาเพื่อนฝูงเวลามาเยี่ยมเยียนที่จวน ส่วนใหญ่มักเป็นสหายร่วมรบ และเหล่าแม่ทัพนายกองคนสนิทที่แวะเวียนผลัดกันมาสนทนาปรึกษาหารือกัน ทั้งเรื่องงานในกองทัพและเรื่องอื่น ๆ ในราชสำนัก
ลานตรงกลางจึงถูกสร้างเอาไว้ให้มีขนาดใหญ่ เผื่อเอาไว้หลังจากพูดคุยกันเสร็จแล้วจะมีใครอยากยืดเส้นยืดสาย ก็จะได้ออกกำลังกายทดสอบฝีไม้ลายมือกันที่ลานแห่งนี้
ไม่นานนัก...ต้าฮุยและต้าเฮยถูกนำตัวเขามาที่ล้านกว้าง ถึงแม้พวกมันจะไม่ได้ขู่กรรโชกหรือทำร้ายผู้ดูแลเหมือนเช่นเดิม แต่ความน่าสะพรึงกลัวและชื่อเสียงของสุนัขปีศาจยังสร้างรอยแผลในใจให้เหล่าข้ารับใช้ จนมีท่าทางประหม่าและต้องระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา