ตอนที่4. เผชิญหน้า (อีกครั้ง)
ชุ่ยเหนียงเฟยวางมือบนท่อนแขนของสามี พร้อมเอ่ยปลอบโยนพร้อมแสดงความสำนึกผิด
“เรื่องนี้เจ้าไม่ผิด แต่เพราะนางมิรักดีเอง ตัวนางเกิดมาพร้อมสรรพทุกสิ่งอย่าง แต่กลับริษยาน้องสาวแท้ ๆ จนทำให้ตัวเองและครอบครัวต้องอับอาย”
จ้าวหลิวหลีที่ยังเดินออกไปไม่ห่างมากนัก ยกยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นพ่อ หญิงสาวทำได้เพียงปล่อยความรู้สึกทั้งหมดทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง นับแต่วันนี้นางและสกุลจ้าว คงเป็นเพียงเส้นขนานเท่านั้น มิอาจเกื้อหนุนกันได้อย่างสนิทใจแล้ว
“ฮูหยินเจ้าคะ”
“ข้าไม่เป็นไรเสี่ยวเชี่ยน เรื่องนี้มิใช่ปัญหาของข้าผู้เดียว อีกไม่กี่วันท่านแม่ทัพก็กลับมาแล้ว ต่อให้เขาชิงชังข้าเพียงใด ข้าก็มั่นใจว่าในฐานะสามีเขาจะปกป้องข้าจนถึงที่สุดเช่นกัน”
จ้าวหลิวหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า มิว่าสีหน้าหรือความรู้สึกภายในของนางในตอนนี้นั้น หาได้แตกต่างกันสักนิด นางไม่คิดใส่ใจกับสิ่งที่บิดากล่าวหา
เมื่อน้องสาวและมารดาเลี้ยงชื่นชอบความยิ่งใหญ่ นางจะจัดให้อย่างสาแก่ใจเช่นกัน สองนายบ่าวก้าวออกจากเรือน ตรงไปยังหน้าจวนด้วยความเบิกบาน หาได้สนใจความกรุ่นโกรธที่อยู่เบื้องหลังไม่
จวนองค์ชายสี่ เสวี่ยเฟิง
ณ เรือนอี้เหมย เพร้ง! เสียงเครื่องกระเบื้องแตกอยู่ด้านในห้องโถง บรรดานางกำนัลต่างพากันก้มหน้านิ่งเงียบอยู่ด้านนอก แม้เสียงร้องไห้คร่ำครวญของพระชายาเอกจะดังออกมาเป็นระยะ ทว่าพวกนางไม่มีสิทธิ์จะก้าวเข้าไปด้านในได้เลย
“เจ้าสร้างเรื่องใส่ความผู้อื่น แล้วยังมีหน้ามาร้องขอความเมตตาจากข้าเช่นนั้นรึ”
ชายหนุ่มขบกรามแน่นมองไปยังภรรยา ที่ตอนนี้นั่งอยู่กับพื้นด้วยน้ำตานองหน้า สิ่งที่เขาได้รู้มาในวันนี้ มันช่างน่าขันนัก ทุกครั้งเขาหลับตาข้างหนึ่งเสมอต่อสิ่งที่ภรรยาได้กระทำ
แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่เช่นที่ผ่านมา มันมีหลายเรื่องที่พัวพันจนเขาอยากที่จะตัดสัมพันธ์สามีภรรยากับนางยิ่งนัก
“หม่อมฉันถูกใส่ความเพคะองค์ชาย หม่อมฉันไม่เคยที่จะกล่าวหาพี่หญิงเลยสักครั้งนะเพคะ”
“เจ้าเห็นข้าเป็นลาโง่เช่นนั้นรึ จึงได้คิดว่าข้าไม่เคยรู้เห็นในสิ่งที่เจ้าทำ คนภายนอกอาจไม่รู้ แต่ข้าคือผู้ใดกัน เจ้าก่อเรื่องภายใต้จมูกของข้ามานับครั้งมิถ้วน ข้าแสร้งมองไม่เห็นมาตลอด แต่ครั้งนี้ข้าไม่อาจทนนิ่งเฉยต่อไปได้”
“หากสตรีผู้นั้นมิใช่พี่หญิง องค์ชายคงมิเป็นเดือดเป็นร้อนถึงปานนี้สินะเพคะ ไยจึงได้ปกป้องนางทั้งที่นางคือภรรยาของผู้อื่น แล้วข้าเล่าข้าที่เป็นภรรยาของพระองค์ ไยจึงมองข้ามข้าอยู่ร่ำไปเพคะ”
จ้าวอี้เหมยเอ่ยถามพระสวามีด้วยแววตาอันร้าวราน นางทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ ยินยอมแม้แต่ลงมือสังหารผู้คน เพื่อให้ได้เคียงข้างเขา เหตุใดในใจของเขาจึงได้มีเพียงพี่สาวผู้โง่เขลาของนางเท่านั้น
“ฮึ! จ้าวอี้เหมย เจ้ามันดวงตามืดบอด จิตใจเต็มไปด้วยความคิดริษยา จนมองไม่เห็นถึงความเป็นจริงในปัจจุบัน ถึงข้าไม่ได้รักเจ้าแต่ก็มิเคยทำลายน้ำใจของเจ้าสักครั้ง ถนอมเจ้าเสมือนหยกเนื้อบาง เจ้าเคยรู้บ้างหรือไม่ ว่าพี่สาวของเจ้ามิเคยอยากที่จะยืนในจุดที่เจ้าอยู่ในตอนนี้เลยสักครั้ง”
เสวี่ยเฟิง ข่มกลั้นโทสะเพื่อบอกถึงความเป็นจริง ที่ภรรยาของเขามองข้ามมันมาโดยตลอด เขาไม่มีสิทธิ์เลือกหัวใจตนเอง เพียงเพราะคำว่าองค์ชายที่ต้องช่วงชิงจุดยืนให้กับตนเองและพระมารดา
สตรีที่เหมาะสมเท่านั้นจึงจะส่งเสริมเขา จ้าวอี้เหมยนั้นตามความเป็นจริง นางไม่มีสิทธิ์ที่จะยืนในตำแหน่งพระชายาเอกเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะจ้าวหลิวหลีอดีตคู่หมายของเขา กลายเป็นภรรยาของหลี่จ้าน
เขาที่ต้องการผู้หนุนอำนาจเพื่อช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท จำต้องมีสกุลจ้าวคอยเป็นฐาน เขาจึงเลือกจ้าวอี้เหมยมาทดแทนจ้าวหลิวหลี
เขาไม่ปฏิเสธว่ารักในตัวของอดีตคู่หมาย สตรีที่หัวอ่อนเช่นจ้าวหลิวหลี เหมาะที่จะเป็นสตรีเคียงข้างเขา ตั้งแต่เล็กจนโตนางจะอ่อนโยน เห็นใจผู้อื่นอยู่เสมอ ความงามหาได้เป็นรองผู้ใด
ทว่ารอยยิ้มที่เขาเคยเห็นได้หายไปทีละน้อย นับตั้งแต่อดีตพระชายาเอกในจ้าวอ๋องตายไป ทุกอย่างเริ่มแปรเปลี่ยนแต่จ้าวหลิวหลียังคงเป็นหนึ่งดวงใจของเขาเช่นเดิม
แต่เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่วางเอาไว้ พระมารดาของเขาจึงได้ทำการสู่ขอจ้าวอี้เหมยเข้าจวนแทน พระมารดาคอยย้ำให้เขามองถึงจุดมุ่งหมายมากกว่าเรื่องความรัก ดังนั้นเขาจึงต้องปิดหูปิดตากับสิ่งที่จ้าวอี้เหมยทำมาโดยตลอด
“ยังทรงเชื่อความเสแสร้งของนางอยู่อีกหรือเพคะ หม่อมฉันมีตรงไหนสู้นางมิได้บ้างเพคะ”