ตอนที่5. คาบข่าวมาฟ้อง
จ้าวอี้เหมยเหมือนจะเริ่มควบคุมตนเองเอาไว้ไม่ได้บ้างแล้ว หญิงสาวหาญกล้าที่จะเอ่ยถามพระสวามี ที่เอาแต่โทษนางว่าทำเพียงเรื่องเลวร้าย โดยที่เขาไม่เคยคิดเลยว่า ที่ผ่านมาเขาเองก็ใช้นางเป็นเพียงสะพานมุ่งสู่อำนาจเดียวเช่นกัน
“เจ้าคิดเช่นนั้นหรืออี้เหมย หากเจ้ามิเพียบพร้อมข้าจะเลือกเจ้ามายืนในฐานะพระชายาเอกของข้าจนถึงทุกวันนี้หรือ”
เสวี่ยเฟิงพยายามลดโทสะของตนเองลง เขายังไม่อยากให้เกิดความแตกหักขึ้นในตอนนี้ แต่ดูเหมือนจ้าวอี้เหมยจะรู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน นางจึงใช้สิ่งนี้บีบบังคับเขาอยู่กลาย ๆ
“แล้วเหตุใดจึงมิทรงเชื่อคำของหม่อมฉันบ้างเล่าเพคะ”
จ้าวอี้เหมยฉวยจังหวะเหล็กร้อนให้รีบตี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เช่นที่นางคาดการณ์เอาไว้ แม้ว่ามันจะผิดพลาดตรงที่พระสวามีรู้เรื่องนี้ก่อนที่นางจะทำสำเร็จก็ตามที
เมื่อเขาล่วงรู้เรื่องนี้แล้ว นางก็แค่เพียงพลิกวิกฤตที่เกิดขึ้น ให้เป็นโอกาสอันดีแทนเสียเลย อย่างไรเสียพระสวามีก็มิอาจตัดขาดจากนางได้ในเวลานี้ นางจะทนรับรู้ถึงการมีอยู่ของจ้าวหลิวหลีอีกสักหน่อยก็มิเป็นไร
“จ้าวอี้เหมย ถึงเจ้าจะฉลาดเพียงใด จงจำไว้ว่าในโลกนี้ยังมีผู้ที่เหนือกว่าเจ้าและข้าอีกมาก เรื่องนี้ตามจริงเจ้ามิคิดที่จะให้ข้าล่วงรู้ แต่เพราะเหตุใดเล่าจึงมีผู้ส่งข่าวเรื่องนี้มาให้ข้าได้รู้”
“เป็นนางสินะเพคะ ที่คาบข่าวมาฟ้องพระองค์”
จ้าวอี้เหมยเชิดใบหน้าขึ้นสูง พร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ นางไม่คิดเลยว่าจ้าวหลิวหลีคนเขลา จะหาญกล้ามาฟ้องสวามีของนาง เพื่อให้เขามาลงทัณฑ์แก่นางเช่นนี้
“เจ้าคิดผิดแล้ว! หลิวหลีมิเคยจะสนทนากับข้าเลย นับตั้งแต่นางแต่งแก่สกุลหลี่ และช่างน่าผิดหวังที่เจ้าทำมันจริง ๆ เสียด้วย”
จ้าวอี้เหมยถึงกับใบหน้าถอดสี เมื่อรู้ว่านางพลาดไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรนางก็นับว่าถือหมากเหนือกว่าพระสวามีอยู่ดี เขาจะไม่มีวันตัดขาดนางจากชีวิตได้ ตราบใดที่ยังต้องช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทอยู่
“หม่อมฉันไม่ได้ทำ ที่สำคัญพระองค์ทรงรู้ดีว่าข้าเหนือกว่าจ้าวหลิวหลีอยู่แล้ว หากต้องก้าวขึ้นสู่สิ่งที่ทรงวาดฝัน”
จ้าวอี้เหมยเชิดใบหน้าขึ้นสูง นางยังมีบิดากับพี่ชายเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่พระสวามีก็มิอาจหย่าขาดจากนางได้ เพราะเขายังต้องการผู้หนุนหลังอยู่นั่นเอง
“อย่าได้มั่นใจมากจนเกินไปอี้เหมย ข้าอาจมองข้ามเรื่องครั้งนี้ไปได้ แต่มิใช่ตลอดไป”
เอ่ยจบร่างสูงได้ก้าวจากไปในทัน โดยไม่สนใจถึงอาการของพระชายา คราแรกเขาตั้งใจจะอ่อนข้อลงให้นางสักหลายส่วน เพื่อรักษาความรู้สึกมิให้แตกหักไปกว่านี้
แต่ด้วยนิสัยหยิ่งผยองของนางทำให้เขาต้องรีบไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่ปีศาจในกายจะสำแดงออกมาให้นางได้เห็น
“กรี๊ดดดด”
เสียงกรีดดังขึ้นเมื่อลับร่างของพระสวามีไปแล้ว จ้าวอี้เหมยรู้สึกชาหนึบไปทั้งร่าง สิ่งที่สวามีของนางได้กระทำนั้น มันไม่ต่างจากการเอามีดกรีดใจนาง
‘ข้าแพ้เจ้าตรงไหนนังหลิวหลี ข้าไม่ดีตรงที่ใด ไยเขาจึงไม่เคยมองเห็นความรักของข้าบางเลย’
จ้าวอี้เหมยใช้หลังมือปาดน้ำตาก่อนจะก้าวไปยังห้องนอน นางจะทำให้พี่สาวตัวดีหายไปจากสาวตาของทุกคนให้เร็วที่สุด มีนางต้องไม่มีคนเช่นจ้าวหลิวหลี
จวนจ้าวอ๋อง
รถม้าคันหรูจอกเทียบหน้าบันได ก่อนที่ร่างระหงของธิดาคนรองของสกุลจ้าวจะก้าวลงจากรถม้า หญิงสาวไม่สนใจทหารยามและบ่าวไพร่ที่เอ่ยทำความเคารพ
หญิงสาวเร่งก้าวตรงไปยังเรือนของมารดา เวลานี้ความชอกช้ำใจที่นางได้รับมา จำต้องได้รับการเยียวยาให้เร็วที่สุด และสิ่งนั้นคือความพินาศจ้าวหลิวหลีเท่านั้น
“ท่านแม่!”
จ้าวอี้เหมยวิ่งเข้าสวมกอดมารดา เมื่อก้าวพ้นประตูเรือนเข้าไปด้านใน หญิงสาวส่งเสียงสะอื้นเบา ๆ กับอกของผู้เป็นแม่ ความอัดอั้นที่นางเพียรเก็บเอาไว้มาโดยตลอด เวลานี้มันไม่อาจทานทนได้อีกต่อไปแล้ว
“เกิดสิ่งใดขึ้น ไยเจ้าจึงร้องปานขาดใจเช่นนี้ลูกรัก”
“เพราะมันคนเดียวท่านแม่ฮือ ๆ องค์ชายทรงรู้เรืองนั้นแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่...”
เรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนที่นางจะมายังจวนของมารดา ได้พรั่งพรูออกมาดั่งสายน้ำ ใบหน้าของชุ่ยเหนียงเฟยแสดงออกถึงความเจ็บแค้นแทนบุตรสาว มิว่าเวลาจะผ่านมานานเพียงใด
ยังไม่อาจลบความเป็นจริงเรื่องชาติกำเนิดของจ้าวอี้เหมยได้ แม้ว่าเวลานี้นางจะยืนในตำแหน่งชายาเอก แต่ความเป็นจริงก่อนที่นางจะก้าวสู่จุดนี้ได้ นางก็เป็นเพียงสนมลำดับท้าย ๆ