คิดวิธีหาเงินเข้าบ้าน
คล้อยหลังเด็ก ๆ ไปตักน้ำที่ลำธาร รอยยิ้มเปื้อนใบหน้าของอดีตนักฆ่าก็หายไป เหลือเพียงความเรียบเฉยไร้อารมณ์ หม่าเยี่ยนถิงจัดการปอกเปลือกหัวมันนำลงไปต้มรอให้เปื่อย พวกนางไม่มีเนื้อให้กิน มีแต่ไข่ไก่ป่าที่บังเอิญเก็บมาได้ระหว่างทาง จึงไม่ลังเลที่จะเอาลงหม้อ
แววตาหญิงสาวไม่เหลือเค้าความสดใสที่ได้เห็นมาตลอดเช้านี้ ความสดใสของเด็ก ๆ เป็นสิ่งนางอยากให้คงอยู่ต่อไป แม้หม่าเยี่ยนถิงจะไม่มีมันมาตั้งแต่แรกก็ตาม
ตัดความรู้สึกออกไปแล้วทำงานให้เสร็จ นั่นคือสิ่งที่องค์กรหล่อหลอมนางมา งานของนางตอนนี้คือการเป็นแม่ ถ้าพวกเขาไม่อยู่ในสายตา ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาสีหน้าสดใสนั่นไว้ ช่างเป็นอะไรที่ฝืนทำจนเหนื่อยทั้งที่พึ่งผ่านมาครึ่งวัน
น่าชื่นชมคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวทุกคนบนโลกจริง ๆ ที่อดทนฝ่าฟันมันมาได้ แน่นอนว่าหม่าเยี่ยนถิงก็สมควรได้รับคำชมนั้นเช่นกัน
ระหว่างรอให้น้ำแกงเดือด และเด็ก ๆ กลับมา หม่าเยี่ยนถิงก็ใช้มือเปล่าถางวัชพืชรอบบริเวณบ้านรอไปพลาง สวนของบ้านหลังนี้ไม่ได้กว้างขวางมากมาย แต่ก็ถูกละเลยเพราะสภาพจิตใจที่พังทลายของผู้เป็นเจ้าของ
หม่าเยี่ยนถิงนับเวลารออยู่ในใจ กระทั่งเด็ก ๆ หลับมา นางได้ยินเสียงพวกเขาตั้งแต่ไกล
"ท่านแม่ พวกข้ากลับมาแล้ว"
"เที่ยวเดียวไม่พอหรอกนะ"
"ใช่เจ้าค่ะ พวกข้ายังแบกถังน้ำใหญ่ไม่ได้ ต้องไปอีกหลายครั้งเจ้าค่ะ"
หม่าเยี่ยนถิงฉีกยิ้มด้วยความเอ็นดูในตัวบุตรสาว นางลูบผมบุตรสาวตัวน้อยเบา ๆ ก่อนเบนสายตาไปหาแฝดผู้พี่ที่ทำหน้ารอคอยอยู่เช่นกัน
"มานี่มา" พอเขาเข้ามาใกล้นางก็ลูบศีรษะเขาเบา ๆ เช่นกัน ไม่ให้เขาน้อยใจว่ามารดารักน้องสาวมากกว่า
"เจ้าเก่งที่พาตัวเองกับเหมียวเหมียวกลับมาได้อย่างปลอดภัย" คนได้รับคำชมรู้สึกหัวใจพองโตจนเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ เด็กชายยิ้มกว้างแข่งกับมารดา แล้วน้องสาวก็ยิ้มตาม หม่าเยี่ยนถิงหัวเราะด้วยความชอบใจ
"ไม่เห็นท่านแม่ยิ้มนานแล้ว ปกติท่านแม่เอาแต่ร้องไห้ ท่านแม่ต้องยิ้มอีกเยอะ ๆ เจ้าคะ" หนี่เหวินเบิกตากว้างมองมารดาอย่างตกตะลึง ก่อนจะกล่าวออกมาจากหัวใจดวงน้อย ๆ นางชอบเวลาท่านแม่ยิ้มเป็นอย่างมากเพราะเหมือนโลกของนางสดใสขึ้นมาทันที
"พวกเจ้าก็ต้องยิ้มเยอะ ๆ เหมือนกัน"
ให้ความสดใสและความหวังนี้ อยู่ตราบนานเท่านาน
หม่าเยี่ยนถิงมองเด็กน้อยทั้งสองอย่างเอ็นดู พวกเขาน่ารักและดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้หัวใจที่ด้านชาของนางรู้สึกอ่อนนุ่มขึ้นมาบ้าง และนางไม่อยากให้พวกเขาต้องมาเจออะไรที่เลวร้ายเหมือนนางชาติก่อน
หม่าเยี่ยนถิงเลิกคิดฟุ้งซ่านก่อนจะหันไปมองโอ่งดินดูจากขนาดของตุ่มและถังน้ำแล้ว หม่าเยี่ยนถิงคิดพิจารณาว่าหาทำรถเข็นขึ้นมาอาจจะง่ายขึ้น พวกเขาสามารถแบกน้ำถังใหญ่โดยไม่ต้องใช้แรงมาก และไปกลับน้อยครั้งกว่า
ก่อนจะไปถึงจุดนั้นต้องมีเงิน เพราะตอนนี้ร่างนี้ไม่มีเงินสักตำลึงเดียว ฉะนั้นจากนี้ไปนางต้องช่วยเหลือตัวเอง เพื่อเลี้ยงดูเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ร่างเดิมทิ้งไว้ให้นางได้ดูแล อีกอย่างนางเต็มใจที่จะดูแลพวกเขาที่แสนน่ารักและยังรู้ความมากจนนางรู้สึกปวดใจ
"พวกเจ้าไปตักน้ำต่อเถอะ ตักมาอีกเที่ยวเดียวก็พอ แล้วไปทานข้าวเสีย หลังจากนั้นแม่จะไปตักเอง" หม่าเยี่ยนถิงบอกเจ้าก้อนฝาแฝดที่เป็นเด็กดีมากด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
"แต่..."
"ไม่มีแต่ ช่วยงานได้แต่อย่าทำอะไรเกินกำลัง" หม่าเยี่ยนถิงลูบศีรษะเล็กๆ นั่นอย่างรักใคร่ ก่อนจะสั่งสอนไปด้วย พวกเขารู้ความมากขนาดนี้ก็น่าดีใจมากแล้ว แต่นางก็ไม่อยากให้พวกเขาทำงานหนักเกินตัว แต่จะไม่ให้ทำอะไรเลยก็ไม่ใช่วิถีของนางเช่นกัน
"ขอรับ / เจ้าค่ะ" เจ้าก้อนแป้งฝาแฝดทั้งสองตอบรับด้วยสีหน้าจริงจัง ยิ่งได้รับคำชมยิ่งเชิดหน้าเล็ก ๆ นั่นอย่างภาคภูมิใจทำให้หม่าเยี่ยนถิงกลั้นยิ้มอย่างนึกเอ็นดู
"ดี"
หม่าเยี่ยนถิงยิ้มให้อีกหน ก่อนกลับไปคนน้ำแกงให้เข้ากัน มองส่งเด็ก ๆ เดินไปลำธารใกล้ ๆ จากที่แอบนับในใจแล้วเทียบเวลาใช้ราวเที่ยวละหนึ่งจอกชาไปกลับ เท่านี้นางก็คาดเดาเวลาที่อาจเกิดเหตุได้แล้ว หากพวกเขากลับช้ากว่านี้ก็อาจแปลได้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ดีที่พวกเขากลับมาตรงเวลา น้ำแกงกับมันฝรั่งต้มถูกจัดสำรับอย่างง่าย พวกเขาไม่เรื่องมากและไม่บ่นเพราะรู้สถานการณ์ตัวเองดี ช่างเป็นเด็กที่รู้ความจนนางยังแอบแปลกใจ
หม่าเยี่ยนถิงทำแกงไว้หม้อใหญ่ ตอนเย็นแค่อุ่นเอาก็ทานได้แล้ว เหลือถึงพรุ่งนี้เช้าด้วยอย่างแน่นอน เท่านี้นางก็เอาเวลาไปทำอย่างอื่นได้
"ท่านแม่ ท่านเหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ ให้เหมียวเหมียวนวดให้ท่านดีหรือไม่" หม่าเยี่ยนถิงหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยบอกอย่างเอ็นดู พวกเขาน่ารักจริง ๆ เป็นผ้าขาวที่ทำให้นางอยากปกป้องตลอดไป
"ได้เช่นนั้นก็ดีเลย"