บทที่ 2 มู่จิ่นฮวา ดอกไม้งาม (1/2)
“หนิงเฉิง คารวะท่านเสนาบดี คารวะหลีฮูหยิน”
หานหนิงเฉิงค้อมกายให้กับเสนาบดีกรมโยธาหลีหานโจว และฮูหยินข้างกายด้วยความนอบน้อม ในฐานะที่เขาอ่อนวัยกว่า แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่ได้พึงใจชอบตระกูลหลีสักเท่าใดนัก แต่เขาก็สงบนิ่งและเก็บทุกอย่างเอาไว้ภายในจิตใจ และแสร้งยิ้มออกไปตามมารยาทที่พึงมี
“แหม ท่านแม่ทัพใหญ่ ทักทายกันเสียห่างเหินเชียว ฮ่า”
“ผู้น้อยไม่อาจหาญเพียงนั้น” หานหนิงเฉิงตอบกลับไปอย่างมีมารยาท
“เอาล่ะ ๆ เข้าไปนั่งคุยกันด้านในจะดีกว่า”
หลีหานโจวหัวเราะร่า ก่อนจะเดินนำเขาไปยังด้านในพร้อมกับหลีฮูหยิน ทันทีที่สองเท้าของเขาก้าวผ่านเข้ามาในเรือน ก็มีสตรีร่างเล็กในอาภรณ์สีหวานรุดวิ่งออกมาต้อนรับทันทีที่เห็นเขาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม และสายตาเปล่งประกายที่จ้องมองเต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการในตัวเขาเป็นอย่างสูง
“หนิงเฉิง เจ้าดูเหมยเอ๋อร์สิ พอเห็นเจ้าก็รีบวิ่งหน้าตั้งออกมาเชียว” หลีหานโจวพยายามที่จะทำให้เขาได้มองเห็นถึงความน่ารักของบุตรีอย่างเต็มที่ แต่เขาหาได้สนใจนางเลยสักนิด
“อวิ้นเหมย คารวะพี่หนิงเฉิงเจ้าค่ะ”
หลีอวิ้นเหมย บุตรสาวคนรองของตระกูลหลิน เป็นสตรีที่สวยงดงามและเพียบพร้อมเป็นที่หมายตาของบุรุษ ยอบกายให้กับหานหนิงเฉิงพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ทำให้หานหนิงเฉิงรู้สึกตื่นกลัวอยู่ดี
“อืม” เขาตอบด้วยเสียงในลำคอ
“พี่หนิงเฉิง เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”
หลีอวิ้นหยางผายมือเชื้อเชิญเขาไปนั่งยังโต๊ะที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ ความชิดใกล้ของที่นั่งทำให้หานหนิงเฉิงรู้สึกว่าเขากำลังจะตกอยู่ในฐานะของท่านเขย มากกว่าแขกที่ถูกรับเชิญมางานเลี้ยงเสียอีก เขานั่งลงด้วยท่าทางที่สง่างาม โดยมีหลีอวิ้นเหมยหย่อนกายลงด้านข้างของเขาอย่างถือวิสาสะ
“ฮ่า ฮูหยินเจ้าดูสิ บุตรีของเราดูมีความสุขนัก ถึงกับดูแลท่านแม่ทัพด้วยตัวเองเช่นนี้” เสนาบดีหลีเอ่ยขึ้นราวกับว่ากลายเป็นพ่อสื่อไปเสียแล้ว
“ช่างเหมาะสมกันดีเหลือเกินเจ้าค่ะ ท่านพี่” ฮูหยินหลีเองก็เช่นกัน นางเข้าข้างผู้เป็นสามีได้เป็นอย่างดี
“ท่านพ่อ ข้าอายนะเจ้าคะ” หลีอวิ้นเหมยได้แต่ทำท่าทางเขินอาย จนร่างบางนั้นแทบจะบิดเป็นเกลียวอยู่แล้ว
“ท่านแม่ทัพ เหมยเอ๋อร์ของข้าเพียบพร้อมเช่นนี้ ท่านไม่สนใจรับนางเป็นฮูหยินบ้างหรือ”
หลีหานโจวเอ่ยขึ้นมาอย่างตรงประเด็นทำให้หานหนิงเฉิงที่กำลังจิบชาอยู่นั้นเกิดอาการสำลักชาออกมาทันที
แค่ก แค่ก
“ชีวิตของข้าเป็นแม่ทัพที่มอบชีวิตใว้กับแว่นแคว้น จะเป็นหรือตายวันใดก็ไม่อาจรู้ ข้าไม่อยากให้สตรีใดต้องเป็นม่ายน่ะขอรับ”
หานหนิงเฉิงเลือกถ้อยคำที่สื่อถึงการปฏิเสธอย่างชัดเจน
“เห็นทีงานนี้ไม่มีข้าก็คงไม่เป็นไรหรอกกระมัง ท่านพ่อ ท่านแม่”
หลีอวิ้นหยางเดินเข้ามาพร้อมกับสาดส่งสายตาจิกกัดให้กับหานหนิงเฉิงด้วยความเคียดแค้น ทำให้หลีหานโจวและฮูหยินหันไปให้ความสนใจกับบุตรชายแทนการพูดคุยเรื่องของเขา
“มาช้า แล้วยังจะพูดมากอีก แล้วนั่นหน้าไปโดนอันใดมากันเล่า” หลีหานโจวเอ่ยตำหนิบุตรชายคนโตที่มักชอบสร้างแต่ปัญหาให้เขาต้องอับอายอยู่เสมอ
“โดนส้นตีน เอ่อ ฝ่าเท้านังบ้าท้ายจวนน่ะสิขอรับท่านพ่อ”
หลีอวิ้นหยางถึงกับพูดผิดพูดถูก พร้อมกับยกฝ่ามือลูบไล้ปลายคางเพื่อคลายความเจ็บปวด จนหานหนิงเฉิงแทบจะกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่
“รู้ทั้งรู้ว่านังนั่นมันบ้า เจ้ายังจะไปยุ่งกับนางอีก รีบนั่งเร็วเข้า!” หลีกันชื่อตวาดบุตรชายเบา ๆ
หานหนิงเฉิงนั่งอยู่กับที่ได้ไม่นาน งานเลี้ยงก็เริ่มขึ้นหลังจากที่บรรดาแขกตามเทียบเชิญเดินทางมาร่วมงานกันด้วยความคับคั่ง
เพราะเจ้าของจวนมียศศักดิ์เป็นถึงเสนาบดีกรมโยธา จึงเป็นที่นับหน้าถือตาอยู่ไม่น้อย
“ท่านพี่ชิมสุรานี่สิเจ้าคะ ท่านพ่อได้มาจากแคว้นหานเชียวนะเจ้าคะ ขนมนี่ก็อร่อยมากเช่นกัน ลองชิมดูนะเจ้าคะ”
เสียงหวานใสดังขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับการป้อนอาหารและสุราให้กับเขาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้หานหนิงเฉิงทั้งเบื่อและอึดอัดเป็นอย่างมาก เขาทั้งบอกปัด หรือแม้กระทั่งยอมกินอาหารที่หลีอวิ้นเหมยป้อนเพื่อหวังจะให้นางเลิกตอแยเขาบ้าง แต่ทว่านางกลับยิ่งได้ใจและเอาอกเอาใจเขามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม