บทที่ 2 มู่จิ่นฮวา ดอกไม้งาม (2/2)
โชคดีที่สุรานี้เป็นสุราเลิศรสจากแคว้นหาน ทำให้หานหนิงเฉิงได้แต่นึกถึงวันวานของเขาและหลินลี่หมิงสหายรัก จนเสียงหวานใสของอวิ้นเหมยเงียบหายไปจากความคิด
“ท่านพี่ ท่านพี่!”
สุรารสดีและความหลังที่ตราตรึงทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์ หลีอวิ้นเหมยปลุกเขาให้ออกจากห้วงความคิดอีกครั้ง
“อะ…อืม มีอันใดรึ”
“สุรารสชาติถูกใจท่านหรือไม่”
หลีอวิ้นเหมยช้อนสายตาที่งดงามจ้องมองสบตากับเขาด้วยความวาบวาม ที่ทำให้หานหนิงเฉิงต้องหลบสายตา
“ก็ดี แต่ข้าร้อนยิ่งนัก ข้าออกไปเดินเล่นสักประเดี๋ยว” หานหนิงเฉิงร้อนรนจนไม่อาจไม่ปั้นหน้าอยู่กับสตรีที่จ้องเขาตาเป็นมันไม่ได้อีกต่อไป
“ข้าไปด้วยนะเจ้าคะ”
สตรีผู้นี้กล้าหาญยิ่งนัก แม้แต่เกียรติของตัวเองนางก็หาได้สนใจ ถึงขั้นร้องขอติดตามบุรุษเช่นเขาไปอย่างน่าไม่อาย
“เจ้าเป็นเจ้าของงานเลี้ยงนี้ไม่ใช่หรือ เจ้าไม่สนใจแขกอื่นได้อย่างไรกัน”
หานหนิงเฉิงไม่อดทนรอให้นางเอื้อนเอ่ยสิ่งใด เขารุดเร่งเดินออกมาจากสถานที่ที่น่าเบื่อในทันที สองเท้าพาเขาเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จุดหมาย จนมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าเรือนเก่า ผุพังแห่งหนึ่ง
เรือนด้านหน้าของเขาในยามนี้ เป็นเรือนที่ดูเหมือนว่าจะรกร้างมานาน แผ่นไม้ที่ทำเรือนล้วนแล้วแต่ทรุดโทรมจนแทบจะพังลงมาอยู่แล้ว แต่ทว่ากลับมีร่างอรชรกำลังเต้นรำกับมวลหมู่ผีเสื้อราตรีในยามค่ำคืนด้วยความสนุกสนาน
“สตรีบ้าใบ้ผู้นั้นนี่นา นางอยู่ที่แห่งนี้อย่างนั้นหรือ”
ดวงตายาวรีคมเข้ม จ้องมองสตรีเบื้องหน้าด้วยความจับจ้อง ใบหน้าที่งดงามได้รูปเบิกบานด้วยรอยยิ้มกว้าง สองฝ่ามือหนาโอบอุ้มผีเสื้อสีสวยเอาไว้ในฝ่ามือด้วยความอ่อนโยน นัยน์ตาคู่สวยทอประกายระยิบระยับไม่แพ้มวลหมู่ดาวที่ลอยอยู่บนท้องนภาในค่ำคืนนี้
ด้านหน้าของเรือนหลังเก่าเต็มไปด้วยดอกไม้มากมาย หลากหลายสีสัน ยิ่งส่งให้สตรีผู้นั้นมีใบหน้าที่งดงาม หวานหยดย้อยราวกับเทพธิดาบุปผาที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ รู้ตัวอีกทีหานหนิงเฉิงก็เดินเข้ามายังเรือนไม้หลังเก่าเสียแล้ว
“แม่นาง…” หานหนิงเฉิงเอ่ยเสียงเรียกสตรีผู้นั้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“อือ ท่าน ท่านเป็นผู้ใด ออกไป ออกไป!” ใบหน้าหวานละมุนผินมองเขาด้วยความล่องลอย ก่อนจะทำตาโตด้วยความตกใจพร้อมกับเอ่ยไล่เขาด้วยท่าทางที่หวาดกลัว
“เจ้าไม่ต้องกลัว มองหน้าข้าให้ดี ๆ สิ ว่าเราเคยพบกัน”
หานหนิงเฉิงค่อย ๆ ขยับเท้าเข้าไปใกล้กับแม่นางผู้นั้น และพูดกับนางด้วยท่าทางและแววตาที่สุดแสนจะอ่อนโยน จนท่าทางแห่งความหวาดกลัวค่อย ๆ หายไป ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำออกมาที่ทำให้หานหนิงเฉิงได้แต่ยิ้มกว้าง
“คนหล่อ…”
สตรีบ้าใบ้เอียงหน้าด้วยความชั่งใจ ก่อนจะผุดรอยยิ้มขึ้นมาพร้อมกับขยับริมฝีปากเรียกเขาว่าคนหล่อ นั่นทำให้หานหนิงเฉิงหน้าบานไปพร้อมกับสองเท้าที่แทบจะยืนไม่ติดพื้นอีกต่อไป
“อืม ข้าเอง ข้านั่งตรงนั้นได้หรือไม่”
หานหนิงเฉิงพยักหน้า พร้อมกับชี้มือไปยังที่ว่างด้านหน้าของเรือน ที่ดูเหมือนว่าจะมีกาน้ำชาวางเอาไว้อยู่ก่อนหน้าไม่นาน
“ว้าว หล่อเหลายิ่งนัก”
หมับ
ทันทีที่เขานั่งลง สตรีบ้าใบ้ที่เหมือนจะพูดได้ไม่กี่คำก็ทรุดกายนั่งลงด้านข้างของเขา พร้อมกับการยื่นฝ่ามือเล็กเข้ามาลูบไล้ใบหน้าคร้ามเข้มเอาไว้เหมือนกับครั้งแรกที่เขาและนางได้พบเจอกัน
“เจ้าชื่อว่ากระไร บอกข้าได้หรือไม่” หานหนิงเฉิงจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาที่สั่นวูบไหวของนาง
“มู่จิ่นฮวา ข้าชื่อมู่จิ่นฮวา” หญิงสาวเบื้องหน้าบอกชื่อตัวเองออกมาด้วยความย้ำคิดย้ำทำ
“มู่จิ่นฮวา เป็นชื่อที่เหมาะกับเจ้ายิ่งนัก ว่าแต่เจ้าดื่มสุราด้วยหรือ” หานหนิงเฉิงถามออกไป เมื่อได้กลิ่นสุราจาง ๆ ออกมาจากปากของนาง
“สุรา…สุราคือสิ่งใด ข้าดื่มน้ำ น้ำ”
มู่จิ่นฮวาส่งสายตาที่สื่อถึงความไม่เข้าใจมาให้กับเขา ก่อนจะชี้นิ้วมือไปยังกาน้ำชาที่วางอยู่ด้านข้าง หานหนิงเฉิงจึงเทของเหลวในนั้นลงจอกพร้อมกับยกขึ้นดื่มเพื่อทำการพิสูจน์
เมื่อกลิ่นสุราลอยกระทบกับจมูก หานหนิงเฉิงมั่นใจเป็นอย่างดีว่าสิ่งที่มู่จิ่นฮวาดื่มเข้าไปหาใช่น้ำชา แต่เป็นสุราชนิดเดียวกับที่หลีอวิ้นเหมยรินให้เขาได้ดื่ม แต่ทว่าเขากลับดื่มสุราจอกนั้นต่อไป เพื่อลดความประหม่าเมื่อได้อยู่ใกล้กับดอกไม้งามที่แม้จะเป็นสตรีบ้าใบ้ก็ตามที
“มู่จิ่นฮวา สิ่งที่เจ้าดื่มมันคือสุรา หาใช่น้ำชา”
“ผีเสื้อ”
มู่จิ่นฮวาผละออกจากใบหน้าของเขา ก่อนที่นางจะวิ่งตามผีเสื้อสีสวยออกไปอยู่ท่ามกลางมวลดอกไม้ หานหนิงเฉิงนั่งมองนางด้วยสายตาที่เคลิบเคลิ้มหลงใหลไปกับความสดใส พร้อมกับจิบสุรา ดั่งคำว่าที่ว่า จิบสุราเคล้านารี ไปพร้อม ๆ กัน
ผ่านไปชั่วขณะความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา สตรีที่งดงามดั่งดอกไม้แรกแย้ม ทั้งผิวพรรณ หน้าตา ที่ดูดีมีชาติตระกูลเหตุใดถึงมาอยู่เรือนร้างที่แสนจะซอมซ่อเช่นนี้กันเล่า…