ตอนที่ 6 ข้าหูฝาดไปหรือไม่ บุตรสาวยอมออกเรือน
ตอนที่ 6
“แต่งงานกันเถอะ”
โจวหย่งฝูเอ่ยเสียงเรียบ เหมือนใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมาเลย แม้แต่ความวาบหวานในการขอสตรีแต่งงานก็ไม่มีเลยแม้แต่น้อย
เล่นเอาคนที่ถูกขอแต่งงานอ้าปากค้างกว้าง เสียจนแมลงตัวเล็กบินเข้าไปได้หลายร้อยตัวแล้ว
“ท่านว่าอะไรนะ”
เหม่ยอิงพอตั้งสติได้ รีบเอ่ยถามอีกฝ่ายทันที บางทีหูของนางอาจจะฟังเพี้ยนไปจากความจริงก็ได้ คนพึ่งเจอหน้ากันเพียงครั้งเดียว จะมาเอ่ยปากขอแต่งงานได้อย่างไร
คนตัวโตชักสีหน้า ก่อนเอ่ยเสียงแข็งออกมา “อายุมากจนหูไม่ดีหรืออย่างไร ข้าบอกว่าพวกเราแต่งงานกันไหม”
“บ้าไปแล้ว ใครจะไปแต่งกับคนเช่นท่านกัน”
เหม่ยอิงตกใจ จนทนนั่งนิ่งไม่ได้ ต้องผุดลุกขึ้นยืนค้ำหัวแม่ทัพใหญ่ของแคว้น นัยน์ตาหงส์มองสำรวจค้นหา ว่าอีกฝ่ายคิดจะเล่นตลกอะไรกันแน่
“เจ้าอย่าพึ่งคิดหลงตัวเองหน่อยเลย ว่าข้าพิศวาสเจ้าจนอยากแต่งงานด้วย แต่ที่ข้าเอ่ยออกไปแบบนั้น เพราะมีเหตุผล” หย่งฝูควงถ้วยชาในมือเล่น ไม่สนใจสายตาของหญิงสาว
“เหตุผลอะไรข้าก็ไม่แต่ง จางไห่ส่งแขก”
เหม่ยอิงโมโหจนควันออกหู อยู่ ๆ ก็ถูกคนไม่คุ้นเคยหลอกด่า ว่านางหลงตัวเอง...เหอะ...มีเหตุผลอะไรก็ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องของนางเสียหน่อย
“ถ้ามีค่าจ้างเป็นเงินรายเดือนเล่า เจ้าสนใจหรือเปล่า แล้วถ้าเจ้าตกลง จะเป็นการดีกับทั้งสองฝ่ายมาก” หย่งฝูงัดไม้ตายตามที่เนี่ยนเจินบอกเอาไว้ ก่อนจะมาพบหญิงสาว
พอได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเรื่องเงินทองขึ้นมา ใบหูเล็กกางออกแทบจะทันที ทำอย่างไรได้ ใครใช้ให้เหม่ยอิงเป็นสตรีที่ชื่นชอบการมีทรัพย์สินของมีค่าไว้ในครอบครองเล่า
“เมื่อครู่ท่านว่าอย่างไรนะ”
“ข้าจะจ้างเจ้าให้มาแต่งงานเป็นฮูหยินกำมะลอ เป็นไม้กันหมาให้ท่านแม่เลิกเซ้าซี้ยัดเยียดสตรีที่ข้าไม่ชอบหน้าให้ หน้าที่ของเจ้าก็แค่แต่งงานย้ายไปใช้ชีวิตในจวนสกุลโจว เล่นละครตบตาบ้างตามสมควร ส่วนเรื่องอื่น ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง ไม่ต้องเกี่ยวพันกันทางร่างกาย”
เหม่ยอิงบรรจงทิ้งตัวลงนั่งตามเดิม แม้ดวงตาจะลุกวาวกับเงินทองที่อีกฝ่ายเอามาล่อ แต่ยังคงวางท่าทำสีหน้าเหมือนไม่สนใจข้อเสนอเท่าไร
“ทำไมท่านถึงคิดว่าข้าจะรับงานนี้ ครอบครัวข้าก็ไม่ได้ขัดสนเสียหน่อย”
แม่ทัพหนุ่มแค่เห็นใบหูที่กางออก ก็รู้แล้วว่าหญิงสาวตรงหน้าเห็นแก่เงินมากขนาดไหน จึงแค่นยิ้มออกมา ก่อนจะตอบคำถามของหญิงสาวอย่างใจเย็น
“ก็เพราะว่า ในวันข้างหน้า บิดาของเจ้าจะไม่มีวันยอมให้เจ้าเลื่อนการออกเรือนไปอีก อาจจะด้วยวิธีการบังคับหรืออะไรก็แล้วแต่ และไม่มีอะไรรับประกันได้ว่า สามีในอนาคตของเจ้า จะรักเดียวใจเดียว ไม่พาอนุเข้าจวนเลยแม้แต่คนเดียว แต่หากตกลงแต่งงานแค่ในนามกับข้า เจ้าจะไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่องบรรดาอนุทั้งหลาย เพราะข้าเองก็ไม่อยากแต่งงานออกเรือนให้วุ่นวายเช่นเดียวกัน พวกเราแค่ตบแต่งให้ผู้ใหญ่สบายใจ จากนั้นก็ใช้ชีวิตตามแบบที่ตัวเองต้องการ”
หญิงสาวนั่งคิดตามข้อเสนอที่ชายหนุ่มยื่นมา ก็เห็นจะจริงอย่างที่เขาว่า ทุกวันนี้บิดามารดาก็บ่นเรื่องความประพฤติที่ไม่เป็นไปตามแบบคุณหนูในห้องหอ และเรื่องไม่ยอมออกเรือนเสียที นอกจากจะบ่นแล้ว ยังขู่ว่าอีกสามเดือนข้างหน้า นางจะต้องออกเรือนกับคนที่บิดาหามาให้
แต่ถ้าหากนางตกลงรับข้อเสนอของแม่ทัพหย่งฝู นางจะไม่ต้องวุ่นวายปวดเศียรกับการทำหน้าที่ของภรรยา ไม่ต้องปรนนิบัติเรื่องบนเตียง สามารถออกมาเที่ยวดื่มสุรา ชมความงามยามค่ำคืนได้เหมือนเดิม ข้อสำคัญเลย ในแต่ละเดือนยังจะได้รับเงินค่าจ้างอีกด้วย ภายภาคหน้า ต่อให้เขายื่นหนังสือหย่า นางก็จะมีเงินก้อนโตติดไม้ติดมือกลับมา
“ข้ารับข้อเสนอ” เสียงหวานเอื้อนเอ่ยตอบตกลง หลังจากนิ่งคิดอยู่สักพัก
คราวนี้เป็นฝ่ายของแม่ทัพหนุ่มต้องนิ่งงันไปบ้าง ไม่คิดว่าการเจรจาครั้งนี้จะง่ายกว่าที่คิดเอาไว้มาก แต่ก็ดีแล้วละ เขาเองก็ไม่ชอบพูดให้มากความอยู่แล้ว
“ดี...ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าจะส่งเถ้าแก่มาสู่ขอ”
“พรุ่งนี้” ทั้งเหม่ยอิงและจางไห่อุทานออกมาพร้อมกัน
“ใช่...พรุ่งนี้ เนี่ยนเจินหมดธุระแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ” หย่งฝูผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก้าวยาว ๆ เดินนำคนสนิทไป โดยไม่สนใจจะกล่าวคำร่ำลากับเจ้าของจวนเลยแม้แต่คำเดียว
“จางไห่ ข้ากลับก่อนนะ แล้วค่อยเจอกันใหม่” เนี่ยนเจินหันไปส่งยิ้มหวาน ให้สตรีที่ยืนอยู่ด้านหลังของคุณหนูสกุลชุน ก่อนจะก้มหัวให้ว่าที่นายหญิง แล้วรีบเดินตามนายน้อยไปติด ๆ
เหม่ยอิงหันขวับมาทันเห็น สาวใช้กำลังตั้งอกตั้งใจโบกมือลา คนสนิทของคนลามกนั่น ใบหน้าก็ประดับไปด้วยรอยยิ้มอันหวานผิดปกติ
“อะแฮ่ม”
“อะไรเจ้าคะคุณหนู”
จางไห่รีบวางมือลงข้างลำตัว แต่ใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มหวานอยู่เหมือนเดิม
“เจ้าชอบผู้ติดตามของแม่ทัพลามกนั่นหรือ”
“บ้า คุณหนูพูดเรื่องอะไร บ่าวไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”
จางไห่ยืนบิดตัวไปมา สายตาก้มลงมองพื้น แก้มสาวแดงระเรื่ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะมัวแต่เขินอายอยู่ พอเงยใบหน้าขึ้นมาอีกที คุณหนูของนางก็เดินออกจากศาลาไปไกลแล้ว
“คุณหนู รอบ่าวด้วยเจ้าค่ะ”
“หาลูกว่าอะไรนะ”
เฝิงฮูหยินอุทานออกมาเสียงดัง หลังจากได้ฟังสิ่งที่บุตรสาวตั้งอกตั้งใจบอก อย่าว่าแต่คนเป็นมารดาจะตกใจเลย ทั้งบิดาและพี่ชาย ผู้ที่นาน ๆ ทีจะมีเวลาแวะมาทานข้าวกับครอบครัว พอฟังจบยังพากันสำลักข้าวออกมาเลย
“เจ้าว่าพรุ่งนี้แม่ทัพโจวจะส่งเถ้าแก่มาสู่ขอหรือ” ชุนจินเป่าร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้ ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี ที่บุตรสาวยอมออกเรือนเสียที
“น้องไปรู้จักกับหย่งฝูตั้งแต่เมื่อไร”
ตั้งแต่เป็นสหายกันมา หลี่เจี่ยไม่เคยพาเพื่อนคนใดมาจวนเลย ส่วนมากมักไปมาหาสู่กันที่หอสุรามากกว่า และไม่เคยระแคะระคาย ว่าเพื่อนรักกับน้องสาว ไปรู้จักสนิทสนมจนถึงขั้นลงเอยกันตั้งแต่ตอนไหน
“รู้จักกันมาสักพักแล้วเจ้าค่ะ”
เหม่ยอิงตอบเสียงแผ่ว หลบสายตาสามคู่ที่จับจ้องมองมา โดยการตั้งหน้าตั้งตาตักอาหารบนโต๊ะใส่ชาม จนแทบจะล้นชามข้าวอยู่แล้ว
“อิงเอ๋อร์ หยุดความตะกละเอาไว้ก่อน ทุกคนต้องการรู้ความจริงอยู่” เฝิงฮูหยินจ้องหน้าบุตรสาวคนเล็กเขม่น
คนที่กำลังเคี้ยวข้าวเต็มปาก จึงรีบกลืนลงคอจนตาลีตาเหลือก จางไห่ที่ยืนคอยรับใช้อยู่ไม่ห่าง รีบยกน้ำมาให้คุณหนูของตนดื่ม
“ขอบใจเจ้ามาก”
หลังจากอาการสำลักข้าวบรรเทาลงแล้ว เหม่ยอิงยังคงรู้สึกถึงแรงกดดันจากคนในครอบครัว แม้รู้ว่าเรื่องนี้ใครต่อใครก็ต้องคิดว่ามันผิดปกติ แต่นางก็ไม่สามารถบอกความจริงให้คนอื่นรู้ได้ จำต้องหาทางออกให้พ่อแม่และพี่ชายเลิกคาดคั้นเสียที
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ ตอนข้าไม่ยอมออกเรือนพวกท่านก็คอยบ่น คอยบังคับ พอคราวนี้ข้ายินดีจะออกเรือน พวกท่านก็พากันสงสัยนั่นนี้ ได้ไม่ต่งไม่แต่งมันแล้ว จะอยู่แบบนี้ไปจนตาย ต่อให้ถูกบังคับก็จะไม่ยอมเปลี่ยนใจอีก”
ได้ผล ทั้งบิดามารดารีบเอ่ยปากจะไม่พูดคุยเรื่องนี้อีก ขอแค่ให้บุตรสาวยอมแต่งงานมีเหย้ามีเรือนเสียที เหม่ยอิงจึงกลับมาลงมือจัดการอาหารในชามอย่างเอร็ดอร่อย
“ไม่ทานหรือพี่ใหญ่”
คงจะมีแต่หลี่เจี่ยที่ยังคงคาใจกับเรื่องนี้อยู่ คงต้องหาเวลาว่างไปเยี่ยมเยือนสหายรักเสียแล้ว...