ตอนที่ 5 พวกเราแต่งงานกันเถอะ
ตอนที่ 5
ภายในหอตำราสกุลโจว โจวหย่งฝูนั่งเอนหลังอยู่บนม้าโยก รู้สึกผ่อนคลายมากกว่าทุกวัน อาจเป็นเพราะช่วงนี้ กุ้ยหลินไม่ค่อยมาคอยกวนใจให้อึดอัดสักเท่าไร และเป้าหมายที่จะกลายมาเป็นไม้กันหมา ก็เป็นสตรีที่ไม่น่ารำคาญเหมือนสตรีทั่วไปด้วย
เพียงแต่เขายังไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่รู้ตัวตนของอีกฝ่าย แต่ไม่นานหรอกเขาเชื่อในฝีมือของเนี่ยนเจิน ว่าจะต้องตามสืบข้อมูลของสตรีนางนั้นมาได้แน่
“นายน้อย ขอเข้าไปนะขอรับ”
“รีบเข้ามา”
แล้วสิ่งที่หย่งฝูเฝ้ารอมาตลอดสามวันก็มาถึง เนี่ยนเจินผ่านประตูเข้ามา คำนับทำความเคารพเจ้านายอย่างนอบน้อม
“เรื่องที่ให้ไปสืบ ได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
“แม่นางผู้นั้นแซ่ชุน นามว่าเหม่ยอิง เป็นบุตรีคนเล็กของเจ้ากรมพิธีการชุนจินเป่า”
เนี่ยนเจินรายงานชื่อแซ่ ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงรายงานเรื่องอื่น ๆ ตามที่ได้เบาะแสมา
ชุนเหม่ยอิง บุตรีคนเล็กสุดของสกุลชุน แม้อายุล่วงเลยวัยปักปิ่นมาสองปีแล้ว ก็ยังไม่ยอมที่จะออกเรือน เป็นสตรีที่ไม่เหมือนสตรีทั่วไปนัก ชอบเที่ยวเล่นเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะในยามค่ำคืน
ส่วนสาเหตุที่ไม่ยอมออกเรือนเป็นเพราะว่า เบื่อความวุ่นวายภายในจวน อันเกิดจากภรรยาทั้งหลายของบิดา หนำซ้ำพี่สาวที่แต่งงานออกไปแล้ว มักนำเรื่องช้ำใจจากความเจ้าชู้ของพี่เขยมาเล่าให้ฟังอยู่บ่อย ๆ
ชุนเหม่ยอิงจึงได้ตั้งกฎเอาไว้ว่า หากชายใดอยากได้นางไปครอบครอง ต้องลงนามตกลงกันไว้ก่อนว่า ห้ามไม่ให้มีฮูหยินรองหรืออนุเป็นอันขาด
ซึ่งบุรุษส่วนมากล้วนรับข้อตกลงนี้ไม่ได้ สุดท้ายจึงไม่มีใคร คิดที่จะส่งเถ้าแก่ไปสู่ขอนางอีก
“เท่าที่สืบมาได้ก็มีเท่านี้ขอรับ”
“ชุนเหม่ยอิง ที่แท้นางเป็นน้องสาวของหลี่เจี่ยสหายข้าหรอกหรือ”
หย่งฝูเอ่ยขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง ว่าจะจุดไต้ตำตอขนาดนี้ หลี่เจี่ยเป็นสหายรักร่วมสาบาน แต่อีกฝ่ายเป็นองครักษ์คอยติดตามอารักขาฝ่าบาท และพวกเขามักไปมาหาสู่ ชวนกันไปดื่มสุราอยู่บ่อย ๆ
“ขอบใจเจ้ามาก ว่าแต่เจ้าถืออะไรซ่อนไว้ด้านหลังหรือ”
เนี่ยนเจินคลายมือที่ไขว้อยู่ด้านหลัง ยกถุงใส่ขนมให้ผู้เป็นนายดู
“จางไห่ บ่าวของแม่นางชุนให้มาขอรับ ตอบแทนที่ข้าช่วยชีวิตนาง”
หย่งฝูสังเกตเห็นจุดแดง ๆ บริเวณแก้มของผู้ติดตาม และอีกฝ่ายยังหลบสายตาของเขาอีก บุรุษด้วยกัน เหตุใดจะมองกันไม่ออก
“เจอกันแค่ครั้งสองครั้ง พวกเจ้าคืบหน้าถึงเพียงนี้แล้วหรือ เอาเถอะ รีบจัดการขนมของเจ้าเสีย พวกเราจะไปเยี่ยมสกุลชุนกัน”
จวนสกุลชุน
“ท่านแม่ทัพ มีธุระอะไรสำคัญหรือไม่ ถึงได้มาแต่เช้าตรู่เช่นนี้”
ชุนจินเป่าต้องแปลกใจ เมื่อแขกที่ไม่เคยมาเยี่ยมเยือนจวนชุนเลย แม้อีกฝ่ายจะเป็นสหายสนิทของบุตรชายก็ตาม หนำซ้ำอีกฝ่ายยังเป็นคนที่ฝ่าบาทไว้วางพระทัย มอบอำนาจให้ตรวจสอบขุนนางได้ตามใจชอบ แม้จะไม่ใช่หน้าที่โดยตรง เขาเองจึงระแวงไม่น้อย ว่าตนกำลังถูกฝ่าบาทหมายหัวอยู่หรือเปล่า
“ต้องขออภัย ที่มารบกวนโดยไม่ได้แจ้งให้ทราบก่อน พอดีข้ามีธุระสำคัญต้องการคุยกับบุตรีคนเล็กของท่าน”
“อิงเอ๋อร์นะหรือ”
คราวนี้เจ้าของจวน ยิ่งงงไปใหญ่ ว่าบุตรีไปรู้จักมักคุ้นกับแม่ทัพใหญ่ของแคว้น ผู้ที่มีข่าวลือว่า กำลังจะถูกตั้งขึ้นเป็นอ๋องต่างสกุลได้อย่างไร
“ใช่ แล้วต้องการคุยตามลำพังด้วย” หย่งฝูย้ำประโยคหลังน้ำเสียงหนักแน่น
จินเป่าแม้เห็นไม่สมควร กับหนุ่มสาวที่ยังไม่รู้จักสนิทสนมจะเจรจากันลำพัง แต่ด้วยกลิ่นอายอำมหิต ที่มักแผ่รัศมีออกมาจากตัวแม่ทัพใหญ่ของแคว้น ทำให้เขาไม่กล้าบอกปัด จำเป็นต้องสั่งให้สาวใช้ไปตามบุตรสาวคนเล็ก และพาแม่ทัพไปนั่งรออยู่ศาลาพักผ่อน นอกจากนี้ยังส่งสาวใช้ไปยืนคอยสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ ด้วย
“คนลามก โรคจิต อย่าได้พบเจอกันอีกเลย อุตส่าห์ช่วยชีวิตไว้แท้ ๆ”
ริมฝีปากบางก่นด่าชายหนุ่มที่กล้าจับหน้าอกไปพลาง หยิบหมอนผ้าห่มขว้างปาลงพื้นระบายอารมณ์ขุ่นมัวไปด้วย
จนเกิดอาการเหนื่อยหอบนั่นละ ถึงได้หยุดอาละวาด ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ใบหน้างามถมึงทึง จนสาวใช้หลายคนไม่กล้าสู้หน้า
“คุณหนู ทำลายข้าวของอีกแล้วนะเจ้าคะ บ่าวขี้เกียจเก็บแล้ว ขืนยังทำอีก บ่าวจะให้เก็บเองไม่รู้ด้วย”
คงจะมีแต่จางไห่ ที่กล้าเอ่ยปากสอนคุณหนูน้อยของนาง เพราะว่าเติบโตมาด้วยกัน จนรู้สึกผูกพันเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันมา
“จะไม่ให้อารมณ์เสียได้อย่างไร ก็หมอนั่น...” เหม่ยอิงไม่อาจพูดต่อถึงเรื่องที่เกิดขึ้นได้
“ท่านแม่ทัพทำอะไรให้คุณหนูของบ่าวไม่พอใจหรือเจ้าคะ ทั้ง ๆ ที่พวกเขามาช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้แท้ ๆ” จางไห่เก็บหมอน ผ้าห่มขึ้นไปวางไว้บนเตียงตามเดิม
“ไปรู้จักมักคุณกันตอนไหน ถึงได้รู้ว่าหมอนั่นเป็นถึงแม่ทัพ ถ้าบอกว่าเป็นโจรโรคจิต ก็น่าเชื่อเสียกว่าอีก”
จางไห่ยิ้มแห้ง ๆ จะไม่รู้ได้อย่างไร ก็ในเมื่อตอนที่คนสนิทของท่านแม่ทัพเข้าไปช่วยเหลือนางในป่า เขาก็แนะนำตัวให้นางรู้จัก และยังถามชื่อแซ่นางด้วย แต่ยังไม่ทันได้ตอบชื่อไป ก็เห็นคุณหนูวิ่งเตลิดเสียก่อน จึงรีบวิ่งตามมา
“ลืมไปเลยเจ้าค่ะ นายท่านให้บ่าวมาตามคุณหนู ว่ามีแขกมารอพบที่ศาลาในสวนหย่อมเจ้าค่ะ” จางไห่รีบเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากให้คุณหนูซักไซ้เรื่องของตนมาก
“ใครกัน”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
จางไห่พูดปด เพราะกลัวว่าคุณหนู จะไม่ยอมออกไปพบท่านแม่ทัพตามที่นายท่านสั่งมา และอีกใจหนึ่ง นางก็จะได้ไปเจอเนี่ยนเจินผู้มีพระคุณของนางด้วย
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
เหม่ยอิงในชุดฮั่นฝูสีฟ้าอ่อน ออกจากเรือนตรงไปยังศาลากลางสวนไม่รอช้า เพราะเกรงว่าแขกที่มาเยือนจะรอนาน
แต่พอมองเห็นมาแต่ไกล ว่าแขกผู้นั้นเป็นใคร ร่างบางจึงหมุนตัวจะเดินกลับเรือนทันที
“คุณหนู จะกลับได้อย่างไรเจ้าค่ะ เสียมารยาท” จางไห่จับตัวคุณหนูเอาไว้ แล้วออกแรงดันให้อีกฝ่ายเดินเข้าใกล้ศาลา
“หากเจ้าบอกข้าก่อนว่าผู้ใดมาหา ข้าคงไม่ออกมาแต่แรกหรอก”
เหม่ยอิงก็ไม่ยอม ยื้อยุดจะกลับเรือนให้ได้ และคงจะชนะได้กลับเรือนในที่สุด หากเสียงเข้มของคนที่นางไม่อยากเจอหน้าดังขึ้นมาเสียก่อน
“แม่นางชุน กลัวข้าขนาดไม่กล้าสู้หน้าเลยเชียวหรือ” หย่งฝูนั่งจิบชา มองภาพยื้อยุดของสตรีทั้งสอง ด้วยความสนุกสนานอยู่เป็นนาน จึงเอ่ยทักขึ้นมา
ได้ผล เหม่ยอิงหยุดดิ้นรน เดินเชิดหน้าหลังตรงเข้ามาทิ้งกายลงนั่งตรงข้ามกับชายหนุ่ม
“ใครกันที่กลัวท่าน ไม่ใช่ข้าแน่นอน” หญิงสาวเอ่ยเสียงดุดัน จ้องหน้าหล่อเหลา ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ไม่กลัวก็ดี ข้าจะได้พูดธุระที่มาวันนี้เสียที”
“มีเรื่องอะไรก็ว่ามา จะได้รีบกลับ ข้าไม่อยากต้อนรับท่านนาน ๆ” เหม่ยอิงกระแทกเสียงเอ่ยถาม
“แต่งงานกันเถอะ”