บทย่อ
โจวหย่งฝู แม่ทัพหนุ่ม ที่เบื่อสตรีประเภททำตัวตามแบบฉบับคุณหนูในห้องหอ จนไม่อยากแต่งสตรีใดเข้ามาในจวน กระทั่งถูกมารดาใช้ไม้แข็ง จึงต้องหาทางออกให้ตนเอง ชุนเหม่ยอิง สตรีที่ชอบเที่ยวยามค่ำคืน ดื่มสุราชมแสงจันทร์ เบื่อความวุ่นวายอันเกิดจากบรรดาอนุของผู้เป็นพ่อ จนถึงขั้น ปฏิญาณว่าสามีของนางจะต้องมีแค่นางเพียงคนเดียวเท่านั้น การโคจรมาพบกัน ของคนที่ไม่อยากครองเรือน จะสร้างความปั่นป่วนว้าวุ่นใจแค่ไหน กรุณากดหัวใจและติดตามเข้าชั้นเอาไว้นะเจ้าคะ
ตอนที่ 1 แม่ทัพโจวหย่งฝู
ตอนที่ 1
ภายในหอทรงอักษรของฮ่องเต้แคว้นฉิน โอรสสวรรค์นั่งประทับนิ่งหลังโต๊ะทรงงาน ดวงตาสูงศักดิ์จับจ้องมองบุรุษหนุ่มในชุดเกราะของทหาร ที่อาบชุ่มไปด้วยโลหิต แม้กระทั่งหนวดเคราบนใบหน้ายังย้อมไปด้วยสีแดงฉาน ใบหน้าที่เริ่มมีริ้วรอยของความชราส่ายไปมาช้า ๆ
“เจ้าพึ่งกลับจากชายแดน เหตุใดไม่กลับจวนไปพักผ่อนให้หายเหนื่อย แล้วค่อยมาพบเราก็ได้” เสียงนุ่มลึกกล่าวเนิบช้าขึ้นมา กระแสเสียงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาที่มีต่อแม่ทัพหนุ่ม ผู้ที่เป็นกำลังหลักของพระองค์
“เป็นการมิบังควรพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อเสร็จภารกิจที่ได้รับมอบหมายแล้ว กระหม่อมควรเข้ามาถวายรายงานฝ่าบาทก่อนถึงจะถูก”
โอรสสวรรค์ถอนหายใจดังเฮือก ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือร้องไห้ออกมาดีกับแม่ทัพตงฉินผู้นี้ จริงอยู่ที่ตนก็อยากฟังรายงานว่ากบฏถูกปราบไปหรือยัง แต่ว่าก็น่าจะจัดการกับคราบเลือดที่เปื้อนตามเนื้อตัวออกเสียหน่อย จะได้ไม่ดูขนลุกขนพองเช่นนี้
“ช่างเถอะ เจ้าก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว รีบเล่ามาเถอะ”
‘โจวหย่งฝู’ ทหารหนุ่มในวัยยี่สิบ แต่ด้วยความสามารถในด้านการรบที่โดดเด่น เมื่อเขาอายุได้สิบแปดปีก็ได้รับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของแคว้นฉิน แม้จะมีขุนนางหลายคนกังขา ว่าการที่เขาได้รับตำแหน่งนี้มา เป็นเพราะว่าฮ่องเต้ทรงโปรดปรานบุตรชายของสหายเก่ามากกว่าฝีมือ
จนกระทั่งเกิดศึกสงครามและการก่อจลาจล หย่งฝูจึงได้แสดงความสามารถ ให้พวกที่มือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำได้ประจักษ์แล้วว่า ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่มิได้มาเล่น ๆ แต่มาด้วยฝีมือด้านการต่อสู้ที่ไม่เป็นสองรองใคร
ด้วยการนำของแม่ทัพหนุ่ม แผ่นดินแคว้นฉิน จึงได้อยู่อย่างสงบสุขนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนเขาได้รับสมญานามว่า แม่ทัพปีศาจ
ครั้นเมืองหน้าด่านเกิดเหตุการณ์โจรออกอาละวาด เจ้าเมืองไม่สามารถจัดการปราบโจรพวกนี้ได้ ฮ่องเต้จึงส่งทหารคู่พระทัย ให้ออกไปจัดการทุกข์สุขของราษฎรแทน
วันเวลาผ่านไปเกือบเจ็ดเดือน โจวหย่งฝูจึงสามารถปราบกองโจร และผู้ที่อยู่เบื้องหลังของโจรกลุ่มนี้ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าเมืองเองนั่นแหละ
“เรื่องก็เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” หย่งฝูรายงานให้ฝ่าบาทรับทราบทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าก็คงลงมือปลิดชีพเจ้าเมืองกังฉินผู้นั้นไปแล้วกระมัง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
คราวนี้เสียงถอนพระทัยของฮ่องเต้ดังขึ้นกว่าครั้งก่อนอีก เช้าวันรุ่งขึ้นพระองค์คงจะได้รับคำร้องเรียน เรื่องที่แม่ทัพทำอะไรข้ามหน้าข้ามตา หรือไม่ก็ทำการโดยลุแก่อำนาจจากบรรดาขุนนาง ที่ไม่ชอบขี้หน้าแม่ทัพหนุ่มผู้นี้...แต่ก็ช่างเถอะ พระองค์รู้ดีว่า สิ่งที่ทำลงไป เป็นเพราะหย่งฝูต้องการให้บ้านเมืองสงบสุข ชาวประชาอยู่อย่างร่มเย็น ภายใต้การปกครองของพระองค์
“เจ้ามีความดีความชอบอีกครั้งแล้ว คราวนี้เราคงต้องพระราชทานรางวัลที่ใหญ่ขึ้น”
“กระหม่อมไม่ได้ปรารถนารางวัลสิ่งใด โดยเฉพาะองค์หญิงใหญ่” แม่ทัพของแคว้นเอ่ยดักทางโอรสสวรรค์เอาไว้ก่อน เพราะทุกครั้งฝ่าบาทจะต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาเจรจาจนได้
“บังอาจ...เจ้าเป็นคนเดียวในใต้หล้า ที่กล้าปฏิเสธบุตรีของเรา” ฮ่องเต้รับสั่งเสียงเข้ม แต่ไม่ได้ต่อว่าแบบจริงจังนัก “ทำไมกัน นางไม่ดีตรงไหนหรือ เจ้าถึงกล้าปฏิเสธทุกครั้ง”
โจวหย่งฝูรีบคุกเข่า เป็นการขอพระราชทานอภัยโทษไปในตัว ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอก ว่าฝ่าบาทมิได้โกรธเคือง ที่เขากล้าปฏิเสธตำแหน่งราชบุตรเขยเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ใช่ว่าองค์หญิงใหญ่ไม่ดี แต่กระหม่อมต่างหาก ที่ไม่มีอะไรคู่ควรกับองค์หญิงเลย”
“เรื่องเหมาะสมหรือไม่ เราเป็นคนตัดสินใจเอง”
“ถึงอย่างนั้น กระหม่อมก็มิบังอาจรับน้ำพระทัยของฝ่าบาทได้ กระหม่อมยังไม่พร้อม ที่จะมีห่วงมารัดคอในยามนี้”
เมื่อเห็นแม่ทัพหนุ่มยืนกรานหนักแน่นเช่นนี้ ฮ่องเต้หรือจะกล้าหักหาญน้ำใจ พระราชทานงานมงคลสมรสให้ สงสารก็แต่องค์หญิงใหญ่ ที่แอบพึงพอใจในตัวบุรุษผู้นี้มาเนิ่นนานนัก จนไม่ยอมที่จะเลือกชายอื่นเช่นเดียวกัน
“เอาล่ะ เรื่องคู่ครองเราจะไม่บังคับเจ้า กลับไปพักผ่อน ล้างเนื้อล้างตัวได้...อ้อ...อย่าลืมโกนหนวดเคราออกไปเสีย ดูหน้าของเจ้าตอนนี้ เหมือนกับคนอายุสี่สิบได้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
โจวหย่งฝูน้อมรับพระบัญชา หลังถวายรายงานฝ่าบาทเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับออกจากวังหลวง กระโดดขึ้นอาชาตัวใหญ่ ควบตรงไปยังจวนสกุลโจวทันที
“ตายแล้วลูกแม่ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ทันทีที่ ‘จางถิงถิง’ มองเห็นสภาพของบุตรชายเพียงคนเดียว ก็ถึงกลับหวีดร้องออกมา หัวอกของมารดา แทบจะวายตายไปให้รู้แล้วรู้รอด
สภาพของบุตรชายแต่ละครั้งที่กลับมาจากสนามรบ ล้วนเต็มไปด้วยคราบเลือด ผมเผ้าหนวดเคราก็รกรุงรัง มองอย่างไรก็ยิ่งเหมือนคนป่าเข้าไปทุกที
“จะโวยวายทำไมกันฮูหยิน รู้ ๆ กันอยู่ ว่าลูกของเราเก่งขนาดไหน ไม่มีใครทำอันตรายเขาได้หรอก”
‘โจวเพ่ยฟาง’ อดีตราชครูของฮ่องเต้ ที่เบื่อเกมการเมือง จึงถอนตัวออกมาอยู่อย่างสงบสุข ใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่กับภรรยาที่รัก รักมากขนาดที่ไม่ยอมรับหญิงอื่นเข้าจวนมา
จางฮูหยินมองค้อนสามี ผู้ที่ไม่ทุกข์ร้อนกับการที่บุตรชาย ผู้สืบสกุลเพียงหนึ่งเดียว ต้องออกไปเสี่ยงอันตรายอยู่ร่ำไปแบบนี้
“ท่านพี่ ไม่เป็นห่วงลูกก็หุบปากไปเลย”
“ทำไมกลายเป็นว่าพี่ไม่ห่วงลูกเล่า”
ยังไม่ทันจะเอ่ยปากอธิบายต่อ ประมุขของจวนก็ได้รับสายตาพิฆาตจากฮูหยินข้างกาย จึงจำต้องปิดปากของตนเองให้สนิท ไม่อย่างนั้นมีหวังคืนนี้ต้องได้ออกมานอนห้องอื่นแน่
หย่งฝูอมยิ้ม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าภายในจวนแห่งนี้ ใครเป็นใหญ่ที่สุด ยังไม่ทันได้ตอบคำถามให้มารดาหายห่วง รอยยิ้มเพียงนิดของแม่ทัพหนุ่มก็เลือนหายไปจากใบหน้าทันที พร้อมกับสตรีรูปงามนางหนึ่งเดินเข้ามา
“กุ้ยหลินคารวะท่านพี่”
‘เฉียนกุ้ยหลิน’ ยอบกายทำความเคารพชายหนุ่มที่อายุมากกว่า ใบหน้าหวานก้มหน้างุดด้วยความขวยเขิน แต่กระนั้นก็ยังลอบเงยขึ้นมา ชื่นชมความสง่างามของชายหนุ่มเป็นระยะ
หย่งฝูพยักหน้าเล็กน้อยตามมารยาท ก่อนจะหันมากล่าวเสียงขรึมกับบิดามารดา
“ท่านพ่อท่านแม่ ลูกไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด ลูกขอไปอาบน้ำชำระคราบเลือดให้สะอาดก่อน”
“พอดีเลยเจ้าค่ะ ข้าเตรียมน้ำอาบโรยผงหอมไว้ให้ท่านพี่แล้ว” เสียงหวานกล่าวอย่างกระตือรือร้น อยากจะสนทนากับอีกฝ่ายมาก
“งานนี้เป็นงานของบ่าวไพร่ เหตุใดเจ้าต้องลดตัวลงไปทำ” หย่งฝูมองอีกฝ่าย สายตาที่จ้องมอง ทำเอาคนตัวเล็กรู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจ
ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น น้อยใจกับคำพูดของชายหนุ่ม ที่นางเฝ้าแอบรัก เฝ้ารอวันที่จะได้แต่งงานกับเขา แต่ดูเอาเถิด อีกฝ่ายกลับทำเมินเฉย เย็นชา เอื้อนเอ่ยมาแต่ละคำ ไม่คิดจะรักษาน้ำใจนางเลย
“แม่เป็นคนไหว้วานให้หลินเอ๋อร์ไปทำเอง อย่าไปว่าน้องแบบนั้นสิ”
จางฮูหยินเห็นบุตรีของสหายสีหน้าสลดลง รีบเข้ามาฟาดฝ่ามือลงบนต้นแขนของบุตรชาย ที่กล้าเสียมารยาทต่อหน้าลูกสะใภ้ในอนาคตของนาง
“ลูกไม่ได้ตำหนิ เพียงแค่ไม่อยากเห็นกุ้ยหลินลำบาก” หย่งฝูตอบออกมาแบบช่วยไม่ได้
“ไม่ลำบากเลยเจ้าค่ะ ข้าเต็มใจทำ”
กุ้ยหลินยิ้มหวานออกมาได้อีกครั้ง ใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง เข้าใจไปว่า ชายหนุ่มคงจะเป็นห่วงนาง ที่ไปแย่งหน้าที่ของบ่าวไพร่ทำเช่นนั้น...