ตอนที่ 2 ท่านไม่ชอบสตรีแบบคุณหนูในห้องหอหรืออย่างไร
ตอนที่ 2
“หลินเอ๋อร์ ไหน ๆ ลูกก็ทำอาหารไว้ต้อนรับฝูเอ๋อร์แล้ว ก็อยู่ทานข้าวด้วยกันเสียเลยสิ”
หลังจากบุตรชายกลับเรือนไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว จางฮูหยินก็เอ่ยปากชวน หญิงสาวคราวลูก ที่ตนหมายมาดปั้นมือ ว่าจะต้องได้มาเป็นลูกสะใภ้ หวังจะให้คนทั้งสองได้ใกล้ชิด ทำความรู้จักกันมากขึ้น
“เจ้าค่ะ” เฉียนกุ้ยหลินรับคำอย่างว่าง่าย กิริยาเรียบร้อยอ่อนหวานแบบฉบับคุณหนูในห้องหอนี้แหละ ที่มัดใจว่าที่แม่สามีได้อยู่มัด ส่วนกับชายหนุ่มยังไม่รู้แน่ ว่าจะหลงเสน่ห์ในแบบที่เป็นอยู่หรือเปล่า เพราะชีวิตส่วนใหญ่ของอีกฝ่ายอยู่แต่ในสนามรบ
จางฮูหยินยิ้มกว้าง จูงมือว่าที่ลูกสะใภ้ไปนั่งรอบุตรชายยังโต๊ะที่จัดสำรับอาหารหลากหลายเมนูเตรียมไว้แล้ว
ใช้เวลาไม่นาน คุณชายของจวนสกุลโจวก็เดินกลับเข้ามาในห้อง
“มากันครบแล้ว ก็ลงมือทานกันเถอะ”
ทุกคนบนโต๊ะอาหารรอให้ใต้เท้าโจวตักอาหารใส่ชามข้าวก่อน ถึงได้พากันลงมือจัดการอาหารบนโต๊ะอย่างเงียบ ๆ
“ฝูเอ๋อร์ ปลาราดพริกอยู่ไกล ตักให้น้องหน่อยซิลูก” จางฮูหยินเริ่มปฏิบัติการสานความสัมพันธ์ให้เด็กทั้งสอง
โจวหย่งฝูไม่ได้เอ่ยปากปฏิเสธ แต่ยกจานผัดผักที่อยู่ตรงหน้าบุตรีสกุลเฉียนออก แล้วหยิบจานใส่ปลาราดพริกไปวางตรงหน้าหญิงสาวแทน
“เจ้าชอบหรือ งั้นก็ตักทานเองเถอะ พี่ยกมาให้แล้ว” จากนั้นเขาก็ก้มหน้าก้มตาทานอาหาร ไม่รู้สึกรู้สากับสายตาพิฆาตของมารดา
จางฮูหยินข่มอาการควันออกหูเอาไว้ในใจ พยายามปั้นหน้ายิ้ม ชวนสาวน้อยพูดคุย อีกฝ่ายจะได้ไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ กับคำพูดไม่ไยดีของบุตรชาย
“ลูกอิ่มแล้ว ขอตัวออกไปรับลมนะขอรับ” แม้จะรู้ดีว่าเป็นการเสียมารยาท ที่ลุกออกจากโต๊ะอาหารก่อนผู้ใหญ่ แต่เขารู้สึกอึดอัด ที่ถูกมารดาพยายามยัดเยียดให้เขาเอาใจใส่บุตรีของสหายท่านแม่ จึงต้องหาทางออกไปให้พ้นจากสถานการณ์นี้
“ดูสิเจ้าลูกคนนี้ อยู่ในสนามรบเสียจนไม่รู้สิ่งไหนควรทำไม่ควรทำ” ผู้ที่เป็นมารดาบ่นไล่หลังบุตรชายเสียงดัง ตั้งใจให้พ่อตัวดีได้ยิน
“ท่านป้าอย่าว่าท่านพี่เลยเจ้าค่ะ คงเหน็ดเหนื่อยจากการทำศึก เลยอยากพักผ่อนให้มาก”
“ท่านป้าอะไรละ บอกกี่ครั้งแล้ว ให้เรียกท่านแม่”
“ท่านแม่” เฉียนกุ้ยหลินเรียกไม่เต็มเสียง ก้มหน้าเอียงอายที่ต้องเรียกแบบนั้น จนจางฮูหยินอดที่จะยกมือขึ้นมาลูบผมด้วยความเอ็นดูไม่ได้
“แคก ๆ” โจวเพ่ยฟางที่กำลังดื่มน้ำชาอุ่น ๆ เกิดอาการสำลักแบบไม่รู้สาเหตุ
“อะไรติดคอหรือเจ้าคะ” จางฮูหยินหันขวับ ส่งสายตาขุ่นเคืองมาให้สามี ผู้ที่บุตรชายถอดแบบนิสัยมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“ไม่มีจ๊ะไม่มี พี่อิ่มแล้วขอตัวเหมือนกัน”
พอประมุขของจวนออกไปจากห้องแล้ว กุ้ยหลินนางก็ตีหน้าเศร้า กำลังจะกล่าวขอกลับจวนก่อน แต่หญิงวัยกลางคนก็ชิงกล่าวขึ้นมาก่อนว่า
“หลินเอ๋อร์ อย่าไปสนใจสองพ่อลูกเลยนะ พวกเขาก็เป็นแบบนี้แหละ แสดงความรู้สึกในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ออกมาไม่เป็น” จางฮูหยินตบไปที่หลังมือของว่าที่ลูกสะใภ้ ก่อนจะแกล้งอุทานขึ้นมา “ตายจริง ว่าจะให้คนยกขนมหวานตามฝูเอ๋อร์ไป รายนั้นชอบทานของหวานล้างปากหลังทานข้าวเสร็จ เข่อซิง ๆ อยู่ไหม”
“เดียวข้ายกไปเองก็ได้เจ้าค่ะ”
กุ้ยหลินรีบเสนอตัวขึ้นมา เมื่อมีโอกาสที่จะได้ใกล้ชิด บุรุษที่นางเฝ้าหมายปองต่อ
เข่อซิงบ่าวคนสนิทของฮูหยิน ดูเหมือนจะคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ รีบยกถาดใส่ขนมหวานและน้ำชาร้อน ๆ ที่เตรียมเอาไว้เข้ามาให้
กุ้ยหลินรับถาดขนมมา แล้วก้าวเดินตรงไป บริเวณสวนหย่อม ราวกับคนคุ้นเคยสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี
“ท่านพี่ ท่านป้าให้นำขนมมาให้เจ้าค่ะ”
“...”
กุ้ยหลินพยายามใจกล้า ทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม แม้ชายหนุ่มจะใช้ความเงียบเป็นตัวตัดบทการสนทนา
“เอ่อ...” หญิงสาวรวบรวมความกล้า จะเอ่ยปากชวนชายหนุ่มพูดคุยอีกครั้ง
“กุ้ยหลิน พี่ขอพูดตามตรงเลยแล้วกัน เจ้าไม่จำเป็นต้องมาคอยเอาใจ ตามคำสั่งของท่านแม่หรอกนะ พี่ไม่อยากเห็นเจ้าต้องเหนื่อยเปล่า เพราะถึงจะทำอะไรลงไป เจ้าก็เป็นได้แค่น้องสาวเท่านั้น อย่าสร้างความอึดอัดให้พี่มากไปกว่านี้ ไม่อย่างนั้น แม้แต่คำว่าน้องสาวก็จะไม่เหลือ”
กล่าวจบโจวหย่งฝูก็ลุกขึ้น เดินออกจากศาลาพักผ่อน เพื่อไปเจรจากับมารดาให้เข้าใจตรงกันเสียที โดยไม่สนว่าตอนนี้หญิงสาวจะรู้สึกเสียใจหรือเสียหน้ามากแค่ไหน
หยาดน้ำใสหยดลงตามแก้มขาวนวล สองมือกุมชายกระโปรงเอาไว้แน่น ทำไมกัน ทั้ง ๆ ที่นางทำตัวตามแบบคุณหนูในห้องหอทุกอย่าง ชายหนุ่มทั้งหลาย ต่างหมายปอง อยากจะได้นางไปเป็นฮูหยินข้างกาย แล้วทำไม ชายหนุ่มที่นางอุตส่าห์เสนอตัวจนแทบจะเป็นประเคนให้ กลับไม่ชายตามอง หนำซ้ำยังคอยพูดจาไม่รักษาน้ำใจนางเลยแม้แต่น้อย
...แต่มีหรือที่คนอย่างเฉียนกุ้ยหลินจะยอมแพ้ ในเมื่อนางมีคนสำคัญคอยหนุนหลังอยู่ จางฮูหยินที่รักและเอ็นดูนางมาก จะต้องใช้ความรักความเอ็นดูนี้ ผลักดันให้ตนเองแต่งเข้าจวนสกุลโจวให้ได้...
“น้องกลับไปแล้วหรือ”
จางฮูหยินเอ่ยถามบุตรชาย ที่กลับออกมาจากสวนเพียงผู้เดียว
“ท่านแม่ เลิกยัดเยียดกุ้ยหลินให้ลูกได้แล้วขอรับ ลูกไม่ได้คิดกับนางเกินเลยไปมากกว่าน้องสาว และไม่มีวันแต่งนางเข้ามาเป็นฮูหยินเป็นอันขาด”
หย่งฝูเอ่ยเข้าประเด็นทันที หากไม่พูดให้มารดาเข้าใจ ตัวเขาเองก็ต้องทนอึดอัดกับผู้หญิงแบบกุ้ยหลิน
“แต่ลูกสมควรที่จะออกเรือนได้แล้ว ไม่ใช่ว่าคอยรับใช้ฝ่าบาทอย่างเดียว ลูกก็มีหน้าที่ ที่ต้องมีทายาทสืบสกุลต่อไป แล้วแม่ก็ไม่เห็นว่ามีใครที่เหมาะสมกับลูก มากไปกว่าหลินเอ๋อร์เลย ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตา กิริยามารยาทตามแบบคุณหนูในห้องหอ งานบ้านงานเรือนก็เก่ง”
หลังจากตั้งสติได้ จางฮูหยินก็พยายามโน้มน้าวให้บุตรชายเพียงคนเดียวยอมออกเรือนเสียที ไม่อยากให้สกุลโจวต้องจบสิ้นลง เพราะไม่มีทายาทไว้สืบสกุลต่อ
“ลูกบอกแล้ว ว่าไม่ได้รักกุ้ยหลิน และก็ยังไม่อยากออกเรือนตอนนี้”
“เอาสิ ถ้าอยากเป็นลูกอกตัญญูต่อวงศ์ตระกูลก็เชิญ พ่อกับแม่วาสนาน้อย มีทายาทให้สกุลโจวได้เพียงคนเดียว หวังจะพึ่งบุตรชายให้มีทายาทสืบสกุลต่อ ก็ดูเหมือนจะไม่มีหวัง ข้าช่างทำผิดต่อบรรพบุรุษเหลือเกิน”
เมื่อใช้ไม่อ่อนไม่เป็นผล จางฮูหยินจึงเปลี่ยนยุทธวิธีมาเป็นตีโพยตีพาย ต่อว่าตัวเองที่ไร้ความสามารถให้กำเนิดบุตรได้เพียงคนเดียว
“ท่านแม่ อย่าใช้วิธีนี้มาบีบบังคับลูกเลย” หย่งฝูเหนื่อยใจ จนอยากจะมุดดินหนีหายไปจากจวนนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
“ไม่ต้องมาเรียกว่าแม่ ปล่อยให้หญิงแก่ตรงหน้าเจ้า ชอกช้ำใจไปจนตายนี้แหละดี จะได้ไม่มีใครคอยบังคับขู่เข็ญเจ้าอีก” จางฮูหยินบีบน้ำตาให้หลั่งไหลออกมาอย่างง่ายดาย
โจวหย่งฝูหลับตาลงสงบจิตใจอยู่พักหนึ่ง ใครใช้ให้เขาเกิดมาเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่เล่า หากเขามีพี่ชายหรือน้องชาย คงไม่ถูกมารดาบีบคั้นเช่นนี้
“ได้ ท่านแม่อยากให้ลูกแต่งงาน ลูกก็จะแต่ง แต่ฮูหยิน ลูกจะเป็นคนเลือกเอง”
จางฮูหยินหยุดร้องไห้แทบจะทันที รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้า แม้จะเสียดายที่บุตรีของสหายจะไม่ได้ตกแต่งเข้ามาในฐานะฮูหยินเอก แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่รังเกียจ นางจะช่วยผลักดันให้เข้ามาอยู่ในฐานะฮูหยินรองให้ได้
“ฝูเอ๋อร์ แม่ขอบใจลูกมาก หากลูกถูกใจบุตรีจวนใด แม่พร้อมที่จะจัดการสู่ขอมาให้ลูกทันที ขอเพียงลูกยอมออกเรือนก็พอแล้ว ส่วนกุ้ยหลิน...”
“ลูกขอตัวกลับไปพักก่อน” หย่งฝูตัดบท ไม่ยอมเปิดโอกาสให้มารดาต่อรองเรื่องของกุ้ยหลินอีก