บทที่ 4 คู่...อริ
บทที่ 4 คู่...อริ
หลังจากคิดอยู่นานว่าจะทำสินค้าอะไรขึ้นมาขายเป็นอาชีพดี ในที่สุดจ้าวจินหรูก็คิดได้ ขนมชนิดหนึ่งที่ก่อนหน้าเคยได้กินผุดพรายขึ้นมาในหัวของนาง ขนมที่ไม่ใช่แค่ขนมแต่ยังสามารถกินเล่นเป็นของว่างได้ทั้งยังอิ่มท้องด้วย
ถึงแม้จะคิดออกแล้วว่าจะทำอะไรขาย แต่สุดท้ายมันก็ยังเป็นได้เพียงความคิด ยามนี้นางคือคุณหนูใหญ่จวนตระกูลจ้าวอยู่ๆจะให้ไปตรากตรำขายของก็กระไรอยู่ ความจริงเรื่องฐานะของนางก็ไม่มีใครอื่นรับรู้นอกจากมารดาผู้เป็นฮูหยินเอกของจวนจ้าว
ทั้งๆ ที่มีคนรับรู้อยู่เพียงหนึ่งแท้ๆ แต่สุดท้ายความลับนี้กลับถูกเปิดเผยออกมาในตอนวังหลวงกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ฮ่องเต้และราชสำนักกำลังจะประสบกับคลื่นลมลูกใหญ่ นางรับรู้เพียงเท่านั้นเรื่องของบ้านเมืองสตรีไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย แม้ว่าจะเป็นถึงมารดาแผ่นดินก็ตาม
ยิ่งคิดใคร่ครวญดูจ้าวจินหรูก็ยิ่งพบกับช่องโหว่มากมาย หนึ่งคือฮูหยินเอกตระกูลจ้าวไม่น่าจะเป็นผู้เปิดเผยความลับนี้ด้วยตนเอง ใครกันจะยอมจุดไฟเผาตัวเองหรือขุดหลุมไว้ให้ตัวเองนอนกันล่ะ ทุกคนย่อมมีความเห็นแก่ตัวซุกซ่อนอยู่ด้วยกันทั้งนั้น
เจียงฮูหยินเองก็เช่นเดียวกัน
เรื่องที่ตนเองเอาลูกคนอื่นมาแอบอ้างเป็นลูกของตัวเองตั้งแต่สิบสี่ปีก่อนนางย่อมไม่มีทางบอกให้ผู้อื่นรู้เป็นแน่
เว้นแต่จะมีข้อแม้อย่างอื่นที่สำคัญและมีน้ำหนักในใจมากจนเจียงฮูหยินมองข้ามชีวิตและความปลอดภัยของตัวเอง
จ้าวจินหรูไม่อยากจะคิดต่อ ด้วยเพราะเคยตั้งใจไว้แล้วว่า ไม่ว่าชาติก่อนนางจะเคยประสบพบเจออะไรมาและมีจุดจบเช่นไร แต่นางก็จะถือว่าทุกอย่างมันได้ผ่านพ้นไปแล้ว กระทั่งนางได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบใหม่ ได้พบเห็นอะไรใหม่ๆ สายตาและความคิดของนางย่อมกว้างไกลกว่าเดิมมาก ยามนี้แม้ชะตาชีวิตวนย้อนกลับมาเส้นทางเดิมอีกครั้ง แต่นางก็จะถือว่ามันเป็นภพชาติใหม่ สิ่งใดที่เคยเกี่ยวข้องกันในชาติก่อนไม่อาจเชื่อมต่อกันมาถึงชาตินี้
เวรย่อมระงับได้ด้วยการไม่จองเวร
แม้ว่าเวลาที่ได้เห็นหน้าน้องสาวต่างมารดาที่เป็นสาเหตุให้นางต้องถูกโทษทัณฑ์นางจะยังรู้สึกขุ่นเคืองอีกฝ่ายมากก็ตาม
“นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นพี่ใหญ่นี่เอง นั่งอยู่ตรงนี้นานแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงหวานเอ่ยเอื้อนถามพร้อมกับรอยยิ้มสดใส
จ้าวจินหรูผินหน้าไปมองผู้มาใหม่ ร่างบอบบางในอาภรณ์สีเหลืองอ่อนค่อยๆ ย่างกรายเข้ามาในศาลาริมน้ำ ด้านหลังของนางยังมีสาวใช้ข้างกายยามว่าเสี่ยวชิง
หากจำไม่ผิด เสี่ยวชิงผู้นี้คือคนที่วิ่งโร่ไปบอกซ่งหลี่หมิ่นเมื่อชาติก่อนว่านาง...จ้าวฮองเฮาเป็นคนผลักจ้าวจินมี่หรือจ้าวเสียนเฟยล้มลงกระแทกพื้น เป็นเหตุให้อีกฝ่ายแท้งบุตรในครรภ์ไป
แต่นั่นมันเรื่องของชาติที่แล้ว ทั้งยังเกิดขึ้นตอนที่พวกนางอายุสิบแปดย่างสิบเก้ากันแล้วทั้งคู่
“น้องรองก็ออกมาเดินเล่นหรือ?” จ้าวจินหรูถามกลับโดยไม่ใส่จะตอบคำถาม นางจะนั่งอยู่ตรงนี้นานแล้วหรือเพิ่งมานั่งเกี่ยวข้องอะไรกับอีกฝ่ายด้วยเล่า?
อ้อ...ลืมไปว่าจ้าวจินมี่เป็นบุตรสาวคนโปรดของใต้เท้าจ้าวหานรั่ว นางจะทำอะไรหรือเดินไปไหนในจวนไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใครแม้แต่ห้องหนังสือของผู้เป็นบิดา
ลูกคนโปรดที่เกิดจากอนุคนโปรด…
บางทีการที่เจียงฮูหยินต้องเอานางมาแอบอ้างว่าเป็นบุตรสาวของตัวเอง นอกจากจะเพื่อรักษาตำแหน่งฮูหยินเอกของตระกูลจ้าวแล้ว เจียงฮูหยินอาจจะทำไปเพื่อศักดิ์ศรีของตัวเองก็เป็นได้
มีลูกเป็นสตรีก็ยังดีกว่าเป็นสตรีที่ไม่มีลูก
พอคิดได้เช่นนี้จ้าวจินหรูก็รู้สึกเข้าใจและเห็นใจเจียงฮูหยินขึ้นมา ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เลี้ยงดูนางมาอย่างดี ต่อให้ไม่ใช่สายเลือดที่แท้จริงก็ปฏิเสธได้ไม่เต็มปากว่าไร้ความผูกพัน ถึงตอนสุดท้ายอีกฝ่ายจะสละนางทิ้งเพื่อปกป้องบุตรชายของตัวเองก็ตาม
จะว่าไปแล้วโชคชะตาก็เล่นตลก ก่อนหน้าจะเอานางมาเลี้ยงเจียงฮูหยินนั้นไม่มีบุตรแม้จะแต่งงานเข้าตระกูลจ้าวมานานร่วมสองปีแล้ว แต่ทำอย่างไรก็ไม่ท้องสักที ทว่าพอเอานางมาเลี้ยงเท่านั้น อีกฝ่ายกลับตั้งครรภ์ขึ้นมาตอนนางอายุได้สิบขวบ โชคดีที่เจียงฮูหยินไม่ได้แสดงความลำเอียงออกมามากนัก ไม่เช่นนั้นเรื่องการหนีออกไปจากตระกูลจ้าวคงไม่ทำให้นางหนักใจอยู่เช่นนี้
ชีวิตคนเราใครดีมาเราก็ย่อมต้องดีตอบ เจียงฮูหยินเมตตากรุณาเพียงนี้จะให้นางอกตัญญูต่ออีกฝ่ายอย่างไม่ใยดีเลยได้อย่างไร
“เจ้าค่ะ วันนี้อากาศดีกว่าทุกวันเหมาะแก่การเดินเล่นชมนกชมไม้ พี่ใหญ่ก็คิดเช่นเดียวกันใช่หรือไม่เจ้าคะ?” คำถามของจ้าวจินมี่ฟังแล้วก็คล้ายไม่มีอะไรมากไปกว่าถามไถ่ความคิดเห็น แต่หากพิจารณาดีๆ แล้วจะรู้ว่าคำพูดประโยคนั้นแฝงเจตนาบางอย่างอยู่
หลังจากตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองย้อนกลับมาเป็นจ้าวจินหรูตอนอายุสิบสี่อีกครั้ง หญิงสาวก็เอาแต่ขลุกอยู่ในห้องนอนของตัวเองไม่ออกมาข้างนอกเสียหลายวัน บ่าวไพร่ในเรือนนินทาลับหลังว่านางป่วยใบหน้าซีดเซียวจนดูไม่ได้ บางก็วิเคราะห์ไปว่านางเป็นโรคร้ายรักษาไม่หายโดยที่พวกเขาไม่ได้คิดไตร่ตรองเลยว่าหากนางป่วยจริงไยจึงไม่ตามหมอมาดูอาการ
พวกมีปากแต่ไร้สมองก็ดีแต่พูดไป
ส่วนคนที่คิดว่าตนเองมีสมองก็ชอบจะใช้ปากถากถางหาเรื่องผู้อื่นอยู่นั่น อยากรู้นักว่าหากไม่รู้เรื่องผู้อื่นสักเรื่องจะลงไปแดดิ้นตายหรือไม่
“อืม...อากาศดี ฤดูใบไม้ผลิก็แบบนี้ ว่าแต่เจ้าเถอะวันนี้ไม่เรียนดีดพิณแล้วหรือ? จึงได้เดินออกมาเที่ยวเล่นไกลถึงนี่” จ้าวจินหรูไม่ลืมยกยิ้มให้น้องสาวต่างมารดาหลังพูดจบ แน่นอนว่าความหมายแฝงในประโยคเมื่อครู่นี้คือการที่นางบอกอีกฝ่ายเป็นนัยๆ ว่าไม่สนเรื่องของตัวเองแต่กลับนางชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น ขนาดว่าเรือนของตนเองอยู่ไกลจากศาลาริมมากยังอุตส่าห์ถ่อสังขารมาถึงนี่เพื่อหาเรื่อง
จ้าวจินหรูมองดูรอยยิ้มสดใสของอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่ลอบยิ้มหยัน หากไม่เคยถูกอีกฝ่ายเล่นงานเมื่อชาติก่อนมีหรือที่นางจะแยกแยะรอยยิ้มและแววตาของจ้าวจินมี่ออก สตรีผู้นี้ภายนอกแม้จะดูสดใส งดงาม พร้อมด้วยกิริยาเรียบร้อย นิสัยร่างเริง ทว่าแท้จริงแล้วใครจะรู้ว่าทั้งหมดนั้นกลับเป็นหน้ากากที่ถูกอีกฝ่ายสร้างขึ้นมาบดบังสายตาของผู้คนเท่านั้น
ช่างเป็นบุปผาที่ซ่อนพิษไว้อย่างดีจริงๆ