บทที่ 3 ไม่หวนคืนทางเก่า
บทที่ 3 ไม่หวนคืนทางเก่า
นับตั้งแต่วันที่ลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองย้อนเวลากลับมายังยุคสมัยเดิมของตัวเองอีกครั้ง จ้าวจินหรูก็เฝ้าคิดหาทางจะเปลี่ยนแปลงเส้นชะตาของชีวิตของตัวเองอยู่เสมอ
ไม่กินของเก่า ไม่เอาผัวคนเดิมซ้ำ
นั่นคือประโยคเก๋ๆ ที่นางจำได้เมื่อตอนใช้ชีวิตเป็นณนิรา แน่นอนว่าถึงแม้ตอนนี้นางจะกลับกลายมาเป็นจ้าวจินหรูอีกครั้ง แต่ความทรงจำในช่วงเวลาหลายปีที่ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบใหม่นั้นนางก็ยังไม่ลืม
และนางก็เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำกล่าวนั้น
หลายวันมานี้นางเฝ้าคิดหาหนทางและแผนการเพื่อหลบหลีกและหนีไปให้พ้นจากคนผู้หนึ่งอยู่เสมอซึ่งคนผู้นั้นก็คือซ่งหลี่หมิ่น ฮ่องเต้และอดีตสามีผู้สารเลวของนางในชาติก่อน
แต่ด้วยยามนี้นางย้อนเวลากลับมาตอนที่ตนเองอายุสิบสี่ ในอดีตใต้เท้าจ้าวเคยให้นางหมั้นหมายกับบุรุษผู้นั้นตอนอายุครบสิบห้า และไม่กี่เดือนหลังจากนั้นใต้เท้าจ้าวหรือจ้าวหานรั่ว ท่านพ่อผู้แสนดีของนางก็ให้นางแต่งงานเป็นชายาเอกของซ่งหลี่หมิ่นที่ตอนนั้นยังมียศเป็นเพียงองค์ชายสี่
นั่นย่อมหมายความว่านางยังมีเวลาเหลืออยู่อีกราวๆ หนึ่งปีหรืออาจจะน้อยกว่านั้นสำหรับการวางแผนชีวิตและอนาคตของตนเองเสียใหม่ ชาตินี้นางจะไม่เป็นหนังหน้าไฟ หุ่นเชิด หรือหมากเบี้ยตัวหนึ่งให้ใครสรรหาประโยชน์จากนางอีกแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ตำแหน่งคุณหนูใหญ่จวนตระกูลจ้าวชาตินี้นางเองก็ไม่อยากเป็นอีกแล้วเช่นเดียวกัน!
“สิ่งแรกคือต้องมีเงินก่อนสินะ” เด็กสาววัยสิบสี่ที่มีความทรงจำของช่วงชีวิตทั้งสองชาติเอ่ยขึ้นใบหน้าน้อยฉายแววคิดไม่ตก ยุคสมัยที่อาศัยอยู่ในตอนนี้ข้อจำกัดของสตรีนั้นมีมากเกินไป นางไม่สามารถทำงานหาเงินอย่างโจ่งแจ้งได้หากไม่ใช่ทาสหรือคนชั้นต่ำฐานะยากจน ยิ่งนางเป็นคุณตระกูลใหญ่ที่วันๆ ต้องเอาแต่เรียนเย็บปักถักร้อยและศาสตร์ศิลป์ต่างๆ ด้วยแล้ว เรื่องทำงานหาเงินด้วยตนเองนั้นให้ลืมไปได้เลย สิ่งใดที่จะสร้างความอับอายขายหน้าให้ตระกูล มีหรือที่คนในบ้านจะยอมให้ทำ
อันที่จริงฐานะคุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าวนั้นย่อมได้รับเบี้ยหวัดตามฐานะ ยิ่งนางเป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาเอกยิ่งให้น้อยหน้าไม่ได้
ทว่าการที่ตายเกิดตายเกิดมาแล้วสองชาติทั้งยังมีความทรงจำของชาติก่อนอยู่ ทำให้นางรู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองไม่ใช่สายเลือดแท้ๆ ของพวกเขา
ดังนั้นการจะเสวยสุขอยู่บนกองเงินของผู้อื่นนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้นางนึกละอายใจอยู่ไม่น้อย ยิ่งชาติก่อนที่วัยเด็กเป็นกำพร้าพอโตมาก็เป็นฆ่า หาเงินด้วยการพรากชีวิตผู้อื่นอย่างไม่สนใจเรื่องบาปกรรมนั่นยิ่งทำให้ลึกๆ แล้วจ้าวจินหรูมีความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของตัวเองมากขึ้น
คล้ายๆ กับการฆ่าได้หยามไม่ได้ หรือยอมหักไม่ยอมงอเลยทีเดียว
“หรือว่าจะหนีไปทั้งอย่างนี้เลยดี?” หนีไปแบบไร้เงินถุงเงินถังติดตัว
นั่งครุ่นคิดไปคิดมาอยู่ๆ จ้าวจินหรูก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าอีกไม่นานจะถึงวันพระราชสมภพของไทเฮา ถึงเวลานั้นวังหลวงย่อมต้องจัดงานใหญ่โตขึ้น ชาติก่อนนางจำได้ว่าตนเองนั้นเคยถวายการร่ายรำต่อหน้าพระพักตร์ร่วมกับเหล่าคุณหนูบุตรสาวขุนนางชั้นสูงคนอื่นๆ ยามนั้นจำได้ว่าฮ่องเต้พระราชทานรางวัลเป็นเงินจำนวนหนึ่ง แต่เพราะเพื่อให้ตนเองและตระกูลได้หน้า นางในเวลานั้นจึงมอบเงินส่วนแบ่งของตนให้กับวัดแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวงทั้งหมด
แน่นอนว่าการกระทำในครั้งนั้นทำให้ชื่อเสียงของนางเป็นที่เลื่องดีทีเดียว
แต่ครั้งนี้อย่าได้หวังเลย!
ไม่ว่าจะเป็นวัดหรือสถานที่อื่นใดก็จะไม่มีทางได้เงินของนางอีกอย่างแน่นอน
เพราะชาติก่อนทั้งชีวิตนางก็ทำบุญไปไม่น้อย ทว่าสุดท้ายก็ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถ ทั้งๆ ที่นางควรจะเป็นสตรีที่มีความสุขที่สุดในใต้หล้านี้แท้ๆ
แต่สุดท้ายก็ไม่!
ฉะนั้นแล้วชาตินี้สิ่งที่เรียกว่าความดีหรือบุญกุศลอะไรนั่นก็อย่างได้ย่างกรายเข้ามาเฉียดใกล้นางเลย บางทีนางจะอาจจะเป็นคนที่ทำบุญกับคนไม่ขึ้น แต่ก่อกรรมแล้วรุ่งโรจน์ก็เป็นได้ ดูอย่างชาติก่อนที่นางจะย้อนเวลากลับมาที่นี่เป็นตัวอย่างสิ แม้จะต้องใช้ชีวิตอย่างระแวดระวังด้านหนึ่งเป็นนักมวย ด้านหนึ่งเป็นนักฆ่า ลมหายใจกับกับทางไปนรกห่างกันเพียงแค่ลูกกระสุนกั้นกลาง แต่ถึงอย่างนั้นชีวิตในด้านอื่นๆ ของนางก็ไม่มีอะไรให้ต้องลำบาก เงินในบัญชีก็มีเป็นร้อยล้านทั้งยังไม่มีคนช่วยใช้ อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากทำอะไรก็ได้ทำ ชีวิตที่มีอิสระนั้นมีความสุขที่สุดแล้ว
ถึงอย่างนั้นนางก็รู้ดีแก่ใจอยู่หรอกว่าทั้งหมดนั้นมันไม่ถูกต้อง แต่อย่าลืมเชียวว่า ณ ตอนนั้นนางคือณนิราเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยงให้เป็นนักฆ่า ชีวิตของนางในชาติก่อนนั้นไร้ทางเลือก ยิ่งกว่านั้นคือเป็นชีวิตที่นางไปสวมรอยใช้ต่อจากผู้อื่น
ทว่าในเวลานี้นางได้กลับมามีชีวิตและใช้ชีวิตของตนเองจริงๆแล้ว แน่นอนว่านางต้องเลือกเส้นทางที่ถูกที่ควรให้ตนเอง ไม่ต้องถึงขั้นเป็นนักฆ่าพรากชีวิตผู้อื่นก็ได้ แต่อย่างน้อยนางต้องมีอิสระและไม่กลายเป็นเครื่องมือทำประโยชน์ให้ใคร
โดยเฉพาะกับคนที่ส่งให้ไปตายอย่างน่าอนาถเช่นตระกูลจ้าวและซ่งหลี่หมิ่น
คิดไปคิดมาเรื่องการแสดงต่อหน้าพระพักตร์ก็ถูกตัดออกไป ชาตินี้นางตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับซ่งหลี่หมิ่นอีก ดังนั้นการเข้าวังไปงานเลี้ยงหรืออะไรที่จะสามารถทำให้ฝ่ายนั้นสานต่อความสัมพันธ์ได้นางคงต้องตัดทิ้งให้หมด
ดับไฟเสียตั้งแต่ต้นลมย่อมดีกว่าดับตอนที่ไฟโหมกระพือแล้วเป็นไหนๆ
และอยู่ๆ จ้าวจินหรูก็นึกถึงตอนที่นางไปเที่ยวงานวัดกับเพื่อนที่ชื่อปรางริ้วเมื่อชาติก่อนขึ้นมาได้...
มิใช่ว่าครั้งนั้นนางได้เห็นสิ่งแปลกใหม่และมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่มากมายหรอกหรือ?