ตอนที่ 3 เรียกใช้งาน
“ท่านอ๋อง ตกลงว่า..”
ท่านอ๋องยกมือห้ามก่อนขึ้นรถม้า
“ขึ้นรถแล้วค่อยว่ากัน”
รถม้าวิ่งออกมาจากจวนเสนาบดีแล้ว เรื่องในวันนี้คงเป็นประเด็นระหว่างเขากับเสนาบดีหงอีกแน่นอนเมื่อบุกมาถึงจวนและยังมาลงโทษฮูหยินของเขาอีกด้วย ทั้งๆที่เขาควรจะผูกมิตรกับเสนาบดีกลาโหมผู้นี้เอาไว้เพื่อประโยชน์ในภายภาคหน้า
“ท่านอ๋อง”
“ส่งคนไปสืบเรื่องของหงลี่อินมาให้ข้า”
“สืบเรื่องของนาง ทำไมขอรับ”
“ข้าอยากรู้…”
ภาพของนางที่มองเขาด้วยความโกรธนั้นยังคงติดตาเขาอยู่ ปากบางที่ซีดจัดของนางยังคงติดอยู่ในใจของเขา
“ว่านาง…ได้ยินอะไรหรือไม่”
“แล้วคำสั่งก่อนหน้านี้…”
“อย่าพึ่งฆ่า จับนางมาสอบสวนก่อน”
“ท่านอ๋องไม่ควรประมาทนาง..”
“ข้ารู้ ข้าไม่ประมาทนางแน่นอน เพียงแต่ไม่คิดว่านางจะเป็นบุตรีของเสนาบดีหงเสียได้ กลับจวนแล้วค่อยว่ากันเถิด”
“ขอรับ”
ห้องคุณหนูลี่อิน
“คุณหนูฟื้นแล้ว แม่นมอี้ เร็วๆเข้า”
“คุณหนู ท่านยังมีไข้อยู่ ดื่มยานี่ก่อนเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณแม่นมอี้”
“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ โธ่คุณหนู เหตุใดต้องเจอเรื่องแบบนี้ไม่สิ้นสุด”
“เจ้าอ๋องใจโหดนั่น ข้าเกลียดเขา”
“คุณหนูอย่าพูดเช่นนั้นเจ้าค่ะ ท่านไม่รู้ว่าท่านอ๋องโกรธมากที่ฮูหยินสั่งราดน้ำเย็นท่าน ตอนท่านหมดสติ ท่านอ๋องตกใจมากอุ้มท่านมาส่งถึงห้อง
“แล้วก็ยังสั่งโบยฮูหยินไปห้าไม้ด้วยเจ้าค่ะ”
“เขาสั่งโบยหงเหลียงงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ ท่านอ๋องบอกว่านางบังอาจสั่งลงโทษคนต่อหน้าเขา ซึ่งเป็นการไม่ไว้หน้าเขาเจ้าค่ะ”
“งั้นหรือ เรื่องจริงหรือ”
“จริงเจ้าค่ะ ตอนนี้ฮูหยินยังลุกไม่ได้เลยเจ้าค่ะ”
“หึ ก็นับว่ายังมีคุณธรรม ข้าอภัยให้เขาก็ได้ อารมณ์ดีแล้ว”
“แต่ว่าคุณหนูเจ้าคะ ท่านแอบออกไปดูละครอีกแล้วงั้นหรือเจ้าคะ”
“เอ่อ แม่นม คือว่าข้า..”
“เอาเถอะเจ้าค่ะ ข้าเข้าใจว่าคุณหนูคงเบื่อ แต่ต่อไปแค่บอกข้าก่อนจะได้ไม่ต้องแอบออกไปและหาเรื่องให้นางทำโทษท่านเช่นวันนี้อีก”
“แม่นมไม่ส่งคนตามข้าแล้วใช่หรือไม่”
“ไม่แล้วเจ้าค่ะ แต่คุณหนูสัญญาก่อนนะเจ้าคะว่าจะไม่แอบหนีออกไปอีก”
“เจ้าค่ะๆสัญญา รักแม่นมอี้ที่สุดเลย”
หอสุ่ยเซียนวันถัดมา.
“วันนี้ไม่ต้องหนีผู้ใดแล้ว”
“คุณหนูหง”
“คุณชายโอหยาง”
“ข้าขอนั่งด้วยได้หรือไม่”
ในเมื่อเขาก็ดูไม่ได้มีพิษภัยอะไร เหตุใดจะผูกมิตรกันไม่ได้ ไม่แน่ว่าในอนาคตเขาอาจจะเป็นสหายที่ดีก็ได้
“อ่อ ได้สิเจ้าคะ”
“วันนี้เหตุใดท่านออกมาได้ ไม่แต่งเป็นบุรุษแล้วด้วย”
“ข้าไม่ต้องแอบแล้วเจ้าค่ะ ก็เลยแต่งตัวตามสบายออกมา ท่านล่ะ วันนี้ว่างหรืออย่างไร ถึงได้มานั่งดูละครได้”
“บอกตามตรง ที่จริงข้ามารอเจ้าน่ะ”
“รอข้า รอทำไมเจ้าคะ”
“เจ้าก็คงจะรู้เรื่องที่ทางสองสกุลอยากให้เจ้ากับข้าหมั้นหมายกัน”
“อืม ก็พอรู้เจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ค่อยอยากหมั้นกับผู้ใดตอนนี้ ท่านมองสตรีสกุลอื่นเถิดเจ้าค่ะ อ้อ น้องสาวข้าก็ยังว่าง ท่านไม่มองสักหน่อยหรือ ข้าไม่สนใจบุรุษ เราเป็นสหายกันดีกว่า"
“สหายงั้นหรือ ไม่เคยได้ยินสตรีผู้ใดอยากคบบุรุษเป็นสหาย”
“ก็ข้านี่อย่างไรเล่า อย่าคิดมากสิ จะสตรีหรือบุรุษก็ไม่ต่างกันหรอก”
“แม่นางช่างเป็นคนแปลกจนข้าประทับใจ ข้าขอดื่มให้เจ้า”
“มาสิๆ ดื่มๆ"
“เขาคือใครกัน”
“คุณชายโอวหยางรุ่ย บุตรของโอหยางจุนกรมขุนนางขอรับ ตัวเขาเองก็พึ่งสอบเข้าราชการได้เมื่อปีกลาย อยู่กรมขุนนางเช่นเดียวกัน”
“เขาเป็นคนรักของนางงั้นหรือ”
“เห็นว่าสองสกุลนี้จะให้พวกเขาหมั้นหมายกันนะขอรับ”
“อ้อ เป็นเช่นนี้นี่เอง”
“ข้าจะคุยกับนางได้เช่นไร”
“ท่านอ๋องอยากคุยกับนางหรือขอรับ”
“อย่าลืมภารกิจของเรา”
“ได้ขอรับ ข้าจัดการเอง”
“ข้ารอในห้อง”
หงลี่อินนั่งดูละครกับโอหยางรุ่ยด้วยความสนุกอยู่ได้พักหนึ่ง การดูละครกับเขาก็มิใช่เรื่องแย่ เขาเป็นเพื่อนดูละครที่สนุกมากทีเดียว จนนางได้รับจดหมายจากเสี่ยวเอ้อร์ว่าให้อ่านคนเดียว เมื่อนางเปิดอ่านจึงรีบขอตัวขึ้นไปชั้นบน ในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า
“หากไม่อยากให้ท่านพ่อรู้ รีบขึ้นมา!!”
“แล้วข้าต้องไปที่ใดกันล่ะนี่ ว๊าย”
หงลี่อินถูกดึงเข้าห้อง ซึ่งเป็นห้องเดิมเมื่อครั้งที่แล้วที่นางเข้ามา นางหันมามองหน้าคนที่ดึงนางเข้ามา
“ไอ้…”
“หืมม”
“เอ่อ ท่านอ๋อง พระองค์พาหม่อมฉันเข้ามาทำไมที่นี่เพคะ”
“นั่งก่อนสิ”
“ไม่ล่ะเพคะ เสียเวลาดูละคร รีบคุยมาเถอะ”
“สามหาว!! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าสามารถฆ่าเจ้าภายในดาบเดียวและฝังเจ้าเอาไว้ที่นี่โดยไม่มีใครล่วงรู้”
หงลี่อินกะพริบตาถี่ๆมองเขาอย่างนึกกลัวก่อนจะนั่งลงตามคำเชิญของเขาด้วยความเกรงกลัว
“รินชาให้ข้าสิ”
หงลี่อินรินน้ำชาและส่งให้เขา เขารับไปและมองหน้านางก่อนจะยกดื่มจนหมดและวางจอกลงอย่างแรงจนนางสะดุ้ง
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงเรียกเจ้ามา”
“ไม่ทราบเพคะ"
“ข้าอยากจะถามว่า…”
“ต่อให้พระองค์ถามหม่อมฉันอีกกี่รอบ หม่อมฉันก็บอกได้ว่าไม่ได้ยินอะไรเลย พระองค์จะบ้าหรือ หม่อมฉันเข้ามาเพียงครู่เดียวด้วยความหวาดกลัวว่าคนที่จวนจะจับได้ จะมีเวลาเอาหูที่ไหนไปแอบฟังพวกท่านคุยกัน ไม่ว่าพระองค์จะวางแผนขโมยอะไรหรือฆ่าใครหม่อมฉันก็ไม่รู้ทั้งนั้น และก็ไม่สนด้วยเพราะมันไม่ใช่เรื่องของหม่อมฉัน”
เวยห่าวหรานดึงตัวนางเข้ามาใกล้จนชิด ลมหายใจเขารดอยู่ที่แก้มนาง
“เจ็บนะ ท่านอ๋อง ปล่อยหม่อมฉันนะ”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่เจ้าพูดมาเมื่อครู่มันหายถึงอะไร สิ่งที่เจ้าพูดทำให้ข้าตัดสินได้เลยว่าเจ้าควรจะอยู่หรือตาย”
“ท่านอ๋อง หากพระองค์อยากฆ่าหม่อมฉันนักละก็ ให้หม่อมฉันดูละครเรื่องนี้ให้จบก่อนได้หรือไม่แล้วหม่อมฉันจะมาให้พระองค์ฆ่าถึงที่เลย”
“นี่เจ้าท้าทายข้างั้นหรือ”
หงลี่อินส่งสายตาดื้อดึงมาให้เขา ตากลมโตคู่นั้นมองเขาด้วยนึกสงสัยว่าเขาเป็นพวกบ้าอำนาจหรือไม่ เหตุใดต้องทำเสียงดุดันกับนางราวกับสอบสวนนักโทษเช่นนี้ด้วย
“ท่านอ๋องพระองค์คงไม่ค่อยมีเพื่อนสินะ จะคุยกับใครก็ยาก กินข้าวทั้งทีก็นั่งกินในห้องส่วนตัว ละครก็ไม่ดู ชีวิตเหี่ยวเฉา ไม่มีสีสัน น่าสงสารเสียจริง”
ท่านอ๋องโกรธจนผลักนางนอนลงกับพื้นพร้อมกับปักมีดสั้นคมกริบลงไปเฉียดหน้านางไปนิดเดียว
“ท่าน…ท่านอ๋องอย่าวู่วาม หม่อมฉันแค่...แค่ล้อเล่นเท่านั้นเพคะ ล้อเล่นพระองค์อย่าทำอะไรข้านะ”
“หากเจ้าพูดมากอีกแค่คำเดียว ข้าจะกรีดปากเจ้าเสีย”
“ตกลงท่านอ๋องเรียกข้ามา มีธุระอะไรเพคะ”
“ข้ามีงานให้เจ้าทำ”
“งานอะไรเพคะ เหตุใดต้องเป็นข้า เหตุใดข้าต้องทำด้วยเพคะ”
มีดอันเดิมปักลงไปกลางโต๊ะต่อหน้านาง ลี่อินกลืนน้ำลายอย่างลำบาก นางเป็นคนปากไวจึงไม่ทันคิดว่าเขาโหดเหี้ยมเพียงใด
“เพราะข้าเลือกเจ้า เจ้าก็ต้องทำไม่มีสิทธิ์ถาม”
“งานอะไรเพคะ”
“ก่อกวน ตัดรำคาญ สายลับ ส่งจดหมาย”
“มันงานอะไรกันแน่เพคะ ท่านอ๋องพูดจนงงไปหมด”
“เอาเป็นว่าเมื่อไหร่ที่ข้าเรียกใช้งาน เจ้าต้องมาทันที”
“แล้วหม่อมฉันจะรู้ได้เช่นไรว่าเมื่อไหร่”
“ข้าจะเป็นผู้กำหนดเอง”
“หากหม่อมฉันหลับอยู่ล่ะเจ้าคะ”
หงลี่อินมองหน้าเขา สายตาดุดันนั่นมองมายังนาง ลี่อินจึงเลือกที่จะหุบปากและรินชามาดื่มแทนแต่กลับถูกเขาดึงจอกชาไปจากมือและยกขึ้นดื่มแทน
“จอกนั้นข้าดื่มไปแล้วนะเพคะ ท่าน…”
“ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ จูบก็เคยมาแล้ว เรื่องแค่นี้เจ้าถือด้วยหรือ”