6. ราวกับมิใช่คนเดิม
มือเล็กลดคันธนูลงทันทีเมื่อเห็นหลินหยาถูกคุมตัวพร้อมกับกระบี่ที่คนของหรานจวิ้นยกจ่ออยู่ที่คอ นัยน์ตาคมของอ๋องร้ายจ้องมองนางราวกับศัตรู แต่คนตัวเล็กก็หาได้กลัวไม่ ยังคงนิ่งมองการกระทำของสามีราวกับมิได้ตื่นกลัวสิ่งใด ทำเอาหรานจวิ้นถึงกับขบกรามแน่น
“คิดว่าเจ้าเป็นใครถึงกล้าบุกรุกเข้ามา”
“ก็ไม่เห็นมีป้ายเขียนมิให้เข้านี่” เสียงหวานเอ่ยยอกย้อนคนตัวโตพร้อมกับยิ้มส่งให้
“หึ! คิดว่าเก่งนักสินะ งั้นมาพนันกันว่าเจ้าจะช่วยคนสนิทไปได้หรือไม่ เพราะอย่างไรเสียวันนี้ต้องมีคนสังเวยในความอวดเก่งของเจ้า ข้าจะให้มันเป็นตราบาปติดตัวเจ้าจนตาย จะได้มิกล้าอวดดีเช่นนี้กับข้าอีก” หรานจวิ้นเอ่ยก่อนจะสั่งให้คนของตนจับหลินหยาไปมัดโยงไว้กับต้นไม้
ทำเอาผู้ที่กำลังจะถูกลงโทษถึงกับตัวสั่นงันงก ซึ่งตัวต้นเหตุอย่างซูเยว่ก็หวั่นใจเช่นกัน เพราะมิรู้ว่าคนตัวโตคิดจะทำอะไรกันแน่ เมื่อเขายกคันธนูขึ้น ลูกศรถูกน้าวเพื่อจะยิงไปที่นางกำนัลตัวเล็กซึ่งหลับตาเพราะตื่นกลัวอยู่ และเขาไม่ลังเลที่จะสั่งสอนคนดื้อดึงต่อต้าน โดยปล่อยลูกศรพุ่งออกไปทันที เสียงกรีดร้องของเสี่ยวชิงและหลินหยาดังขึ้นด้วยความตื่นกลัว พร้อมกับเสียงปะทะกันของปลายลูกศร ดังขึ้นก่อนมันจะพุ่งตรงไปถึงร่างของหลินหยา
ซึ่งต่อมาเพียงชั่วอึดใจร่างนั้นก็ทรุดกองลงบนพื้น เพราะเชือกที่ผูกโยงอยู่นั้นขาดลงด้วยลูกศรอีกดอก ที่ซูเยว่ยิงออกไปเพื่อปลดปล่อยคนของตน หลังจากที่ดอกแรกใช้เพื่อสะกัดมิให้มันปะทะร่างหลินหยา ทำเอาหรานจวิ้นและคนสนิทถึงกับหันมามองนางในทันที เพราะมิอาจเชื่อได้ว่าจะมีคนที่ทำเช่นนี้ได้ มือเล็กผ่อนคันธนูลงพร้อมกับเอ่ยขึ้น
“เสี่ยวชิงพาหลินหยากลับเรือน” เสียงหวานที่เคยดังให้ได้ยิน ยามนี้มันนิ่งและเยือกเย็นอย่างมิเคยเป็นมาก่อน ทำเอาคนสนิทของหรานจวิ้นถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ เพราะมิคิดว่าสตรีที่งดงามเพียงนี้จะมีด้านมืดซึ่งดูเยือกเย็นจนน่าขนลุก อ๋องหนุ่มจ้องมองชายาตัวน้อยของตนที่ยังยืนนิ่ง
“คิดว่าจะจากไปได้ง่ายๆ หรือ”
“แล้วอย่างไรล่ะอ๋องหรานจวิ้น ท่านจะเล็งธนูใส่ข้าหรือ” เสียงเรียบเอ่ยถามพร้อมกับเงยมองอีกฝ่ายมิตื่นกลัว ทำเอาคนตัวโตถึงกับชะงักไปกับนัยน์ตาสวยตรงหน้า ซึ่งมันสะกดเขาได้ดีเหลือเกิน จนกระทั่งชายาตัวน้อยเดินจากไปแล้วเขาก็ยังยืนอยู่ที่เดิม
“ท่านอ๋องพะย่ะค่ะ ไยพระชายาถึงเก่งกาจเพียงนี้ นางมิเคยจับต้องอาวุธเลยสักครา เหตุใดสามารถยิงธนูได้แม่นเพียงนี้ ทั้งที่อยู่ระยะไกลเพียงนั้น” ไห่เฉิงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นฝีมือของคนที่เคยถูกเรียกว่าสำออย
และร่างกายอ่อนแอแม้แต่ลมแดดก็โดนมิได้ แต่ยามนี้ราวกับเป็นคนละคนเสียอย่างนั้น แต่คำถามนี้มันกลับมิมีคำตอบใดกลับมา เพราะหรานจวิ้นเองก็นึกไม่ถึงเช่นกัน โดยเฉพาะแววตาที่นางจ้องมองเขา มันไม่เหมือนองค์หญิงซูเยว่คนเดิมเลยสักนิด
“ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่านางเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้เช่นไร”
“กระหม่อมจะให้คนของเราคอยจับตาดูพะย่ะค่ะ” ลี่หยางเอ่ยขึ้นเพราะเขาเองก็อยากรู้เช่นกัน ทั้งสามเดินกลับเข้าจวนพร้อมกับมองไปยังเรือนของพระชายา
“ท่านอ๋องพูดคุยกับพระชายาแล้วหรือเพคะ” คุณหนูมินจูเอ่ยถามท่านอ๋อง เมื่อเห็นเขาเดินกลับมายังเรือนพัก ซึ่งตัวนางเองมิยอมจะกลับอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อได้เห็นว่าซูเยว่ยังสบายดี และมีหน้าตาสดใสมากกว่าแต่ก่อน และงดงามขึ้นกว่าเดิมมาก จนนางเกรงว่าอ๋องหนุ่มจะหันไปใส่ใจพระชายาแทนที่ตน
“ข้าคิดว่าเจ้ากลับไปแล้วเสียอีก” เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัยเท่านั้น เพราะปกตินางมิเคยอยู่นาน เพราะเกรงว่าคนของจวนเสนาขวาและสกุลฟานจะรับรู้เรื่องนี้
“ไยท่านอ๋องเอ่ยเช่นนี้เพคะ หรือว่ามิอยากให้หม่อมฉันอยู่ที่นี่ คงเกรงว่าหม่อมฉันจะไปขัดขวางบางสิ่งกระมัง”
“ไยเจ้าถึงเอ่ยเช่นนี้มินจู ถ้าข้าให้ค้างที่นี่เจ้าจะยอมหรือไม่ล่ะ เจ้าก็มีแต่ปฎิเสธทุกครา”
เขาเอ่ยตัดพ้อไม่จริงจังนัก ทำเอาร่างเล็กของคุณหนูจางต้องรีบเข้ามาโอบกอดคนตัวโตเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยเสียงหวานออดอ้อนเขาเพื่อให้อารมณ์ดี
“ใช่ว่าหม่อมฉันจะไม่อยากทำเช่นนั้นนะเพคะ หากมิใช่เพราะมีการหมั้นหมายกับสกุลฟานไว้ก่อน ยามนี้มินจูคงได้นอนกอดท่านอ๋องทุกคืนไปแล้ว” หรานจวิ้นยกยิ้มให้กับคำพูดของคนตัวเล็กที่กอดเอวเขาอยู่ ก่อนนี้เกือบจะมิได้นางมาครองแล้ว
แต่มิรู้เหตุใดนางถึงได้เปลี่ยนใจมาหาตนได้ ทั้งที่ก่อนนี้ก็ดูจะเฉยชาใส่อยู่มิน้อย แต่อย่างไรล่ะในเมื่อเขาได้ครอบครองนางแล้ว ต้องหาเหตุผลอันใดอีก
“เรื่องนั้นอีกมินานหรอก เจ้ากับแม่ทัพฟานต้องพ้นพันธะกันในเร็ววันนี้แน่ ถึงยามนั้นข้าจะยกตำแหน่งพระชายาให้เจ้าแต่เพียงผู้เดียวมินจู”
“ท่านอ๋องอย่าได้เอ่ยให้ความหวังกับหม่อมฉันเลยนะเพคะ พระชายาทรงงดงามถึงเพียงนั้น มีหรือพระองค์จะทรงทอดทิ้งมาใส่ใจหม่อมฉันได้ อีกอย่างพระองค์ก็มิมีสิทธิ์จะปลดนางนอกจากนางจะมิมีชีวิตอยู่แล้วเท่านั้น”
เสียงหวานเอ่ยตัดพ้ออีกฝ่าย เพราะวันนี้ได้เห็นสตรีที่เคยอ่อนแอผู้นั้นกลับมาร่าเริงสดใสต่างจากทุกทีที่เคยเจอ มันทำนางอดคิดมิได้ว่าสักวันท่านอ๋องต้องใจอ่อนเป็นแน่
“เจ้าอย่ากังวลเลยนะ เจ้าจะได้เป็นชายาของข้าอย่างแน่นอน สตรีเช่นนั้นมิอยู่ในสายตาข้าแม้เพียงนิด” หรานจวิ้นเอ่ยให้สตรีตัวน้อยในอ้อมกอดมั่นใจ ในขณะนั้นก็มองไปเห็นร่างเล็กของชายา กำลังเดินออกจากจวน เขาส่งสายตาให้คนสนิทเป็นสัญาณให้ตาม
“หม่อมฉันมานานแล้วเพคะ คงต้องกลับเสียที”
“เช่นนั้นข้าจะไปส่งที่รถม้าแล้วกัน” ร่างสูงเดินจูงมือสตรีตัวเล็กที่เขาพึงใจ เดินออกจากจวนโดยมิใส่ใจสายตาผู้ใดแม้แต่น้อย
“รอข้าหน่อยนะมินจู อีกมินานหรอกที่เจ้าจะได้มาอยู่ที่นี่ในฐานะชายาของข้า” เขาเอ่ยบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะส่งนางขึ้นรถม้าไป
“พระชายาอยู่ที่หอเครื่องประดับพะย่ะค่ะ” ลี่หยางรายงานทันที เมื่อเห็นว่ารถม้าของจวนเสนาเคลื่อนออกไปแล้ว หรานจวิ้นขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังเช่นนั้น
“นางไปทำสิ่งใดที่นั่น” เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนจะพาคนของตนตามไปแอบซุ่มดูอยู่ห่างๆ
ซึ่งซูเยว่ก็มิได้ทำสิ่งใดแปลกประหลาด เพราะนางตั้งใจจะมาดูของสวยๆ งามๆ เพื่อทำให้หายหงุดหงิดเท่านั้น เพราะกลัวว่าถ้าอยู่ในจวนแล้วเห็นหน้าสามี อาจจะเกิดปากเสียงจนคนสนิทเดือดร้อนอีกก็เป็นได้
“นี่เจ้ายังกลัวอยู่หรือหลินหยา” เสี่ยวชิงเอ่ยถามสหาย เมื่อเห็นว่านางยังคงมือไม้สั่น
“เจ้ามิลองไปยืนอยู่ตรงนั้นดูบ้างล่ะ ข้านี่แทบจะฉี่ราดเลยรู้หรือไม่ ขายังสั่นมิหายเลย”
“หากเป็นข้าก็คงมิต่างกันหรอก มิคิดเลยว่าท่านอ๋องจะเลือดเย็นถึงเพียงนี้ หากพระชายามิมีฝีมือ ข้าคงเสียสหายดีดีเช่นเจ้าไปแล้วหลินหยา”
เสี่ยวชิงเอ่ยก่อนจะกอดอีกฝ่ายอีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งคู่ก็ทำไปแล้ว ซีซียืนมองสองสาวนิ่งอดนึกถึงช่วงเวลานั้นไม่ได้เช่นกัน มิคิดว่าท่านอ๋องจะโหดร้ายไร้ปราณีถึงเพียงนี้ หากเธอไม่มีทักษะการกีฬามาก่อน
รับรองว่าได้เห็นคนที่ดูแลเธอตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ตายไปต่อหน้าต่อตาแน่นอน เธอยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเลือกดูข้าวของต่อ ซึ่งมันทำให้ได้พบกับใครบางคนที่เข้ามาทัก
“มิคิดว่าจะมาเจอพระชายาที่นี่ โชคดีเหลือเกินพะย่ะค่ะ กระหม่อมยังคิดอยู่ว่าจะให้ผู้ใดช่วยเลือกปิ่นให้มารดาดี เพราะเรื่องเช่นนี้มิถนัดเอาเสียเลย”
“ได้สิ ข้ายินดีที่จะช่วยนะ” เสียงหวานเอ่ยบอกบุรุษหนุ่มที่ตนชอบ ก่อนจะเดินไปยังมุมเครื่องประดับ พร้อมกับหยิบปิ่นหยกสีขาวงดงามขึ้นมาพร้อมกับส่งให้คนตัวโตที่ยืนยิ้มอบอุ่นมอบให้นาง ซึ่งซีซีที่อยู่ในร่างของซูเยว่เองก็เก็บความรู้สึกมิอยู่ เพราะคนตรงหน้าคือพระเอกที่เธออยากเจอมากที่สุด มีหรือจะไม่ตื่นเต้นเวลาที่ได้พบกัน
“หึ! ไร้ยางอายเสียจริง” เสียงตำหนิดังขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของชายาตน ซึ่งยามนี้หัวร่อต่อกระซิกกับแม่ทัพหนุ่มจนน่าหมั่นไส้ในความคิดเขา
“จะให้กระหม่อมเรียกตัวมาตักเตือนหรือไม่พะย่ะค่ะ”
“เจ้านี่ช่างมิรู้ใจท่านอ๋องเลยนะไห่เฉิง พระองค์ทรงอยากให้พระชายาและแม่ทัพมีใจต่อกัน จะได้มิขัดขวางเรื่องที่จะรับคุณหนูจางเข้าจวน เจ้ายังคิดจะเข้าไปขัดอีก”
“จริงด้วย ข้าก็ลืมไป” ไห่เฉิงเอ่ยตอบสหายตน ซึ่งมิได้หันกลับมาหาผู้เป็นนายที่ยืนมองนิ่งมิเอ่ยสิ่งใด เขาเอาแต่จ้องภาพของหนุ่มสาวเบื้องหน้าที่ดูพูดคุยกันถูกคอเสียเหลือเกิน จนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างประหลาด แต่ก็นั่นแหละ เขาควรจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ เพื่อที่ทุกอย่างมันจะได้ง่ายขึ้น อย่างน้อยก็มิต้องลงมือเอง
เพราะยังมีอย่างอื่นที่เขาต้องทำ จึงต้องละทิ้งเรื่องนี้ไปเสียก่อน ร่างสูงเดินออกจากหอเครื่องประดับไปเงียบๆ และมันไม่ได้รอดพ้นสายตาของแม่ทัพหนุ่ม ที่สังเกตเห็นนานแล้วเลยสักนิด เขาแค่มิอยากให้คนตัวเล็กตรงหน้าอึดอัดที่สามีมายืนสอดแนมอยู่