5. มันยังไงกันแน่
ยิ่งนางเป็นถึงองค์หญิงต่างแคว้น และเป็นพระชายาของท่านอ๋อง เขามิคิดว่าจะได้มาเห็นภาพเช่นนี้เลย แต่ความคิดทุกอย่างก็หยุดลง เมื่อพบว่าหรานจวิ้นยืนยิ้มอยู่
“เจ้าคงถูกใจชายาของข้าสินะ เช่นนี้แล้วหากอยากได้นางก็บอก ข้ายินดีที่จะเปิดทางให้”
น้ำเสียงของอ๋องหนุ่มบ่งบอกความพอใจเป็นอย่างมากเขาพอจะมองออกว่าบุรุษหนุ่มตรงหน้านั้นมีใจให้ชายาของตน เพราะการหมั้นหมายของแม่ทัพหนุ่มกับคุณหนูมินจูนั้น หาได้เกิดจากความพึงพอใจของทั้งคู่
เมื่อพบเจอสตรีงามอย่างซูเยว่มีหรือที่แม่ทัพหนุ่มจะไม่ตกหลุมรัก แต่มันต่างจากเขาที่มิได้พอใจสตรีเพียงแค่นางงาม คนที่คู่ควรต้องฉลาดและไม่สำออยเอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายเช่นคนที่เดินเข้าจวนไปแล้ว แม้ตอนนี้นางจะไม่เหมือนเดิมก็เถอะเ ขาเชื่อว่าอย่างไรซูเยว่ก็มิมีทางเปลี่ยนไปแน่ นางอาจจะสติเลอะเลือนไปชั่วขณะเท่านั้น
“กระหม่อมมีคู่หมั้นแล้วพะย่ะค่ะ อย่างไรเสียก็มิมีทางเป็นไปได้เป็นแน่ มืดแล้วกระหม่อมขอทูนลา”
แม่ทัพฟานเอ่ยพร้อมกับยกมือประสานกันเพื่อคำนับแล้วขึ้นม้าบังคับออกจากหน้าประตูจวน ซึ่งมีสหายอย่างลู่เหยาและคนติดตามอีกสามคน
“หึ! ในเมื่อเจ้ายังดื้อดึง เช่นนั้นข้าก็จะจัดการให้เอง” ยิ้มร้ายผุดขึ้นบนใบหน้าของบุรุษหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งของแคว้น ก่อนที่หรานจวิ้นจะเดินกลับเข้าจวน และไม่ลืมที่จะเดินเข้าไปดูชายาตนที่วันนี้กล้าหาญออกไปข้างนอกครั้งแรก แล้วยังเมากลับมาอีกด้วย
“นี่หรือองค์หญิงแคว้นหนาน มิร้องไห้ฟูมฟายก็เมาไร้สติ มีสิ่งใดบ้างที่น่าพิศวาส งดงามเสียเปล่าแต่ดูไร้ค่ายิ่งนัก อีกมินานหรอกข้าจะทำให้เจ้าออกไปจากจวนนี้”
เสียงเย้ยหยันดังขึ้น พร้อมกับสายตาดูแคลนร่างเล็กที่นอนเอามือปัดป่ายไปทั่วเตียง ตอนนี้ซีซีรู้ซึ้งถึงฤทธิ์สุราในยุคโบราณแล้วว่ามันแรงแค่ไหน พอหัวถึงหมอนทุกอย่างก็หมุนติ้วจนเธอไม่สามารถลุกนั่งได้ ความทรมานแผ่ซ่านไปทั่วตัวจนคิดว่าต่อไปจะไม่อวดเก่งแบบนี้อีกแล้ว
เพราะทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากนอนหมดแรงและร้อนรนอยู่แบบนี้ สายของวันเธอก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัว จนต้องนอนกลิ้งไปมาราวกับเด็กที่กำลังงอแง
“เกิดอะไรขึ้นเพคะพระชายา” เสี่ยวชิงเอ่ยถามทันที
“แหง๊! ปวดหัวจังเสี่ยวชิง” เสียงหวานเอ่ยขึ้นพร้อมกับลุกนั่ง ยามนี้ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงจนฟู ทำเอานางกำนัลทั้งสองถึงกับกลั้นขำมิอยู่ ก่อนจะหัวเราะออกมาในที่สุด ทำให้คนด้านนอกต่างก็พากันสงสัย เพราะปกติเรือนนี้มิเคยส่งเสียงดังเลยสักครา ซูเยว่นั้นเป็นคนเคร่งครัดในกฎ และไว้เนื้อถือตัวเป็นอย่างมาก แต่วันนี้กลับต่างออกไป
“เช่นนั้นหม่อมฉันไปต้มน้ำแกงแก้เมามาให้นะเพคะ”
“อืม เร็วๆ นะเสี่ยวชิง” นางเอ่ยบอกก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ก็ถูกเรียกโดยหลินหยาให้ลุกขึ้นมาล้างหน้าจึงต้องทำตามอย่างเสียมิได้ จนกระทั่งถูกจับให้มานั่งเพื่อแปรงผมที่มันยุ่งเหยิงนี้ด้วย ไม่นานนักสภาพของคนพึ่งตื่นก็กลับมาสวยงามตามเดิม แม้จะไม่ได้แต่งแต้มสิ่งใดบนใบหน้าเลยนอกจากเครื่องประดับบนหัว
“ขอข้าปล่อยผมมิได้หรือ” นางเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหลินหยาม้วนผมแล้วปักปิ่นเอาไว้ แม้จะรู้ว่ามันเป็นธรรมเนียมของคนโบราณที่หญิงแต่งงานแล้วต้องทำก็เถอะ
“ได้เพคะ เพราะพระองค์เป็นหญิงสูงศักดิ์และแคว้นเราก็มิได้มีกฎอันใดห้าม อยู่ที่นี่ฮ่องเต้ก็ทรงให้อิสระกับพระองค์ทุกอย่าง แต่พระชายาอยากให้เอาขึ้นเองเพคะ”
“อ่อ! อย่างนี้เองหรือ เช่นนั้นเจ้าก็ปล่อยผมข้าลงเถอะ ข้าชอบไว้ผมยาวมากกว่า ม้วนแค่ครึ่งก็พอ”
“เพคะ” เมื่อได้รับคำสั่งแล้วหลินหยาก็ทำตามทันที ทำให้ผมดำสลวยของซูเยว่ถูกปล่อยลงมาอย่างงดงามจนถึงกลางหลัง รับกับอาภรณ์สีฟ้าอ่อนพริ้วไหวได้อย่างดี ร่างเล็กยืนขึ้นก่อนจะทำท่าหมุนจับชายกระโปรง
พร้อมกับยิ้มร่าเผยความสดใสที่มิเคยปรากฎให้เห็นเลย ความงดงามนี้ทำให้บุรุษหนุ่มร่างสูงที่กำลังเดินผ่านเรือนหันมามองอย่างสนใจ เขายืนนิ่งมองสตรีตัวน้อยตรงหน้าต่างนิ่ง จนคนสนิทเดินเข้ามาประกบยังมิรู้ตัว
“มีสิ่งใดหรือพะย่ะค่ะ” ลี่หยางเอ่ยก่อนจะมองตามสายตาผู้เป็นนาย ทำเอาเขาเองก็ถึงกับชะงักไปเช่นกัน
“พระชายาตัวจริงหรือพะย่ะค่ะ”
“หึ! เจ้าเห็นเป็นผู้ใดล่ะลี่หยาง” เขาเอ่ยตอบคนสนิทก่อนจะเดินไปทางด้านหน้าของห้องพัก ซึ่งเสี่ยวชิงกำลังยกถ้วยน้ำแกงเดินมาพอดี จึงต้องหยุดให้ผู้เป็นนายเสียก่อน แล้วเดินตามกันเข้าไปด้านใน
“อ่ะ! เข้ามาทำไมเพคะ ไหนว่าต่างคนต่างอยู่อย่างไรล่ะ นี่มันห้องนอนหม่อมฉันนะ”
“ห้องบรรทมเพคะ” หลินหยาเอ่ยเตือนทันที
“เหมือนกันนั่นแหละ” เสียงหวานเอ่ยตอบคนของตน ก่อนจะหันไปยังร่างสูงของคนตัวโตอีกครั้ง
“นี่จวนข้าจะไปที่ใดก็ได้” เขาตอบเสียงเรียบซึ่งปกติเขาจะไม่พูดกับนาง แต่มิรู้ทำไมยามนี้หรานจวิ้นคิดว่ามีแค่เขาเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับคนตัวเล็กได้ เพราะตั้งแต่ถูกขู่วันก่อนสององครักษ์ก็ดูจะเงียบไปอย่างเห็นได้ชัด ก็แน่ล่ะหากเรื่องถึงหูฮ่องเต้แน่นอนว่าเขาเองก็คงช่วยมิได้ เพราะพระชายาคนนี้เป็นดั่งตัวประกันที่มีค่าของแคว้น
“ชิ! วางอำนาจเก่งจริงๆ” ซูเยว่ลากเสียงสูงใส่อีกฝ่ายทันที ก่อนจะนั่งลงซดน้ำแกงที่มันกำลังอุ่นพอดีจนหมด หรานจวิ้นยืนมองการกระทำของสตรีตัวน้อยนิ่ง ปกตินางจะสงบเสงี่ยมจนน่าหมั่นไส้ ต่างจากตอนนี้มากเหลือเกิน
แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยสิ่งใดก็มีรายงานเข้ามา
“ท่านอ๋อง คุณหนูจางมาขอเฝ้าพระชายาพะย่ะค่ะ”
“จริงหรือให้นางเข้ามาเลย” อาการตื่นเต้นดีใจของสามีเจ้าของร่างทำเอาซีซีอดที่จะมองบนเสียมิได้ เพราะรู้ดีว่าคนที่กำลังจะเข้ามานั้นคือคนที่หรานจวิ้นหมายจะให้นั่งแทนตำแหน่งของซูเยว่ จนซีซีอดคิดไม่ได้ว่าสาเหตุที่ตกน้ำจนเธอมาอยู่ในร่างนี้ อาจจะเป็นฝีมือเขาก็ได้
“หรือเขาจะเป็นคนผลักเธอตกน้ำซูเยว่” เสียงจากในความคิดดังขึ้น ก่อนจะมองไปยังร่างเล็กของใครบางคนที่กำลังเดินเข้ามา สาวสวยใบหน้างดงามแม้จะไม่มากเท่าเจ้าของร่างนี้ก็เถอะ แต่ดูแล้วคงฉลาดและมีไหวพริบมาก ซีซีไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมถึงได้เป็นนางเอกในนิยายเรื่องนี้ แต่เธอจะรู้หรือเปล่าว่าผู้ชายตรงหน้านี้เป็นตัวร้าย
“ถวายพระพรท่านอ๋องและพระชายาเพคะ” เสียงหวานน่าหลงใหลดังขึ้น ทำเอาซีซีถึงกับยิ้มตามในความอ่อนหวานของเธอ มิแปลกใจเลยที่ท่านอ๋องและแม่ทัพหนุ่มจะแย่งชิงเพื่อให้ได้ครอบครอง
“เจ้ามาได้อย่างไรกัน ไยถึงมิบอกข้าก่อนจะได้ให้คนไปรับ เดินทางมาเองลำบากแย่” เสียงทุ้มอ่อนโยนดังขึ้นโดยมิใส่ใจคนที่นั่งอยู่เลยสักนิดริมฝีปากอิ่มถึงกับคว่ำลงอย่างเหลืออด “เหอะ! ทีกับเมียพูดด้วยเสียงรอดไรฟัน พอกับสาวที่ชอบนี่อ่อนหวานเชียวนะท่านอ๋อง”
แม้จะคิดแบบนั้นในใจแต่ใบหน้าหวานก็ยังคงยิ้มส่งให้คนทั้งคู่ ซึ่งยามนี้ชวนกันเดินออกไปด้านนอกแล้ว
“อ้าว! นางบอกมาหาข้ามิใช่หรือหลินหยา” เพราะสาวสวยเอ่ยปากว่ามาเข้าเฝ้าตนเองจึงทำให้ซูเยว่อดสงสัยมิได้ คิดว่าในนิยายทั้งคู่เป็นสหายกันเสียอีก เพราะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ทำไมถึงไม่อยู่คุยกับเธอล่ะ
“อย่าแปลกใจเลยเพคะ เป็นเช่นนี้ประจำยามที่นางเอ่ยว่ามาหาพระองค์ สุดท้ายก็ถูกท่านอ๋องพาไปที่เรือนใหญ่ ส่วนจะทำสิ่งใดกันนั้นมิมีผู้ใดรู้ เพราะอยู่ด้านในกันเพคะ”
“จะ จริงหรือเสี่ยวชิง” ซีซีเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ เพราะที่อ่านมาคือผู้หญิงคนนี้เป็นนางเอกในนิยายเรื่องนี้ แต่ทำไมถึงแอบมาลักลอบเข้าหาสามีผู้อื่น อีกทั้งตัวเองก็มีคู่หมั้นอยู่แล้วแต่ดันแอบมาจวนอ๋อง
“อะไรกันเนี่ยะ ผู้หญิงคนนี้เป็นนางเอกไม่ใช่เหรอ ที่อ่านมาต้องถูกอ๋องชั่วจับไปสิ แต่ทำไมเธอถึงเดินเข้าออกที่นี่อย่างกับบ้านตัวเองแบบนี้ โอ๊ย!งง”
“อย่าทรงคิดมากเลยนะเพคะ” หลินหยาเอ่ยขึ้นเพราะเกรงว่าผู้เป็นนายจะเศร้ากับเรื่องที่ได้ฟัง
“สีหน้าข้าดูเป็นเช่นนั้นหรือ หึ! ข้ามิใส่ใจแม้เพียงนิด เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย ข้าเพียงแต่แปลกใจเท่านั้น” ซูเยว่เอ่ยบอกก่อนจะลุกเดินไปยังสวน
ดวงตาสวยมองไปรอบจวนก่อนจะสะดุดลงที่ประตูด้านหลัง ซึ่งมันน่าจะออกไปทางเชิงเขาได้ เพียงเท่านั้นเธอก็พาร่างตรงไปทันที แม้นางกำนัลทั้งสองจะคัดค้านเพราะเป็นพื้นที่ฝึกอาวุธของท่านอ๋อง มีแต่บุรุษที่เข้าได้
“พระชายาอย่าเลยเพคะ” หลินหยาผู้กลัวไปทุกเรื่องเอ่ยท้วง แต่เสี่ยวชิงผู้ที่สนับสนุนทุกอย่างก็เอ่ยเสริม
“ยามนี้ท่านอ๋องกำลังยุ่งอยู่กับคุณหนูจาง คงมิเสด็จมาง่ายๆ หรอกเพคะ เราแอบไปดูว่าตรงนั้นทำสิ่งใดกันเถอะ”
“จริงด้วย ท่าเจ้ากลัวก็รออยู่แถวนี้แล้วกันนะหลินหยา ข้าจะเข้าไปกับเสี่ยวชิงเอง” เอ่ยเพียงเท่านั้นร่างเล็กก็เดินตรงไปท้ายจวน แต่ดูเหมือนประตูนี้จะถูกใส่กลไกเอาไว้
“เข้าไปมิได้เพคะ” เสี่ยวชิงเอ่ยบอกเมื่อพยายามเปิดประตูเท่าไหร่ก็ไม่ออก เมื่อเห็นเช่นนั้นคนต่างยุคผู้เรียนสายวิศวะมาก็ถึงกับยิ้ม เพราะเธอจะได้ทดสอบฝีมือตัวเอง
มือเล็กลูบไปตามแผ่นไม้ก่อนจะพบบางสิ่งผิดปกติ แล้วดันมันออกมาแล้วสอดใส่ไปอีกช่อง และกดเข้าออกอยู่สองครั้ง ราวกับว่าจะทำให้มันตรงล็อคด้านใน มินานประตูก็เลื่อนเปิดออก
“เปิดแล้วเพคะ พระชายาทำได้อย่างไรกัน”
“เรื่องแค่นี้เองสบายมาก” เธอเอ่ยบอกก่อนจะยิ้มร่าแล้วเดินเข้าไปด้านในซึ่งเป็นพื้นที่ฝึกและมีอาวุธมากมายรวมถึงคันธนูที่มีขนาดพอดีมือเห็นแบบนั้นเธอก็หยิบมันขึ้นมา พร้อมกับน้าวสายทันที
“ยิงเป็นหรือเพคะ” นางกำนัลคนสนิทเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ เพราะตนอยู่กับผู้เป็นนายมานานตั้งแต่อยู่แคว้นหนาน ยังมิเคยเห็นางจะเคยจับต้องอาวุธเลยสักครา
“รอดูแล้วกันนะเสี่ยวชิง” ลูกศรถูกรั้งขึ้นมาตั้งท่าจะน้าวสายยิง พอดีกับเสียงเย็นเฉียบดังขึ้นด้านหลังเสียก่อน
“เจ้าบังอาจมากที่กล้าเข้ามาในพื้นที่ห่วงห้ามของข้า”