7. นางเอกหรือนางร้าย
เพราะเห็นแบบนี้แม่ทัพหนุ่มจึงพยายามอยู่ห่างเพื่อเว้นระยะตลอด และเป็นการให้เกียรติอีกฝ่ายไปด้วย
“กระหม่อมขอบพระทัยที่พระชายาทรงสละเวลาเลือกให้นะพะย่ะค่ะ ท่านแม่รู้คงดีใจมากเป็นแน่”
“ข้ายินดีแม่ทัพฟาน” ซูเยว่เอ่ยกับคนตัวโต แล้วยิ้มโปรยเสน่ห์ให้อีกฝ่ายอย่างเปิดเผย ก่อนจะรีบหุบมันลงในทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขามีคู่หมายแล้ว และตนก็มีสามีที่ยังมิได้หย่าขาดจากกันด้วย อีกทั้งนิยายเรื่องนี้เธอไม่ใช่ตัวเอก จะทำให้เสียเรื่องไม่ได้
“ค่ำแล้วข้ากลับดีกว่า ฝากอวยพรท่านแม่ของแม่ทัพฟานด้วย ข้าคงมิมีโอกาสได้ไปร่วมงานเป็นแน่” ซูเยว่เอ่ยเสียงเศร้าเพราะรู้ดีว่ามิมีสิทธิ์จะไปได้ เพราะหากมิได้รับเชิญจะหาข้ออ้างก็คงไม่ได้แน่
“หากเป็นเช่นนั้นกระหม่อมขออนุญาตส่งเทียบเชิญได้หรือไม่พะย่ะค่ะ หากพระองค์มิรังเกียจ”
“ได้สิ ข้ายินดี” ยิ้มหวานถูกส่งให้แม่ทัพหนุ่ม ซึ่งดูท่าเขาเองก็ชอบรอยยิ้มนี้มิน้อย จนอดที่จะยิ้มตามมิได้
“เช่นนั้นกระหม่อมจะไปส่งที่รถม้านะพะย่ะค่ะ” จงซีเอ่ยบอกก่อนจะเดินนำออกไป พร้อมกับคนสนิทของตนที่ยืนเฝ้าด้านหน้าอยู่ สายตาของชาวเมืองจับจ้องมายังร่างเล็กซึ่งมีใบหน้างดงาม เพราะมิเคยเห็นและมิรู้ว่านางเป็นใคร ไยถึงดูสนิทสนมกับแม่ทัพถึงเพียงนี้
“งดงามยิ่งนักเจ้าว่าหรือไม่” พ่อค้าขายบะหมี่เอ่ยขึ้น
“นั่นสิ สตรีจากเมืองใด หรือจะเป็นคนสูงศักดิ์จากในวัง ดูท่าต้องเป็นเช่นนั้นแน่ถึงได้งดงามเพียงนี้”
“ข้าว่าต้องเป็นเช่นนั้น แต่เหตุใดอยู่กับท่านแม่ทัพล่ะ อีกฝ่ายมีคู่หมายแล้วมิใช่หรือ” เสียงซุบซิบของพ่อค้าแม่ค้าในตลาดดังขึ้นในมุมหนึ่ง
“พวกเจ้าสิ่งใดที่ยังมิรู้แน่ชัด ก็อย่าได้เอ่ยไปให้ผู้คนครหาต่อ มิเช่นนั้นหัวจะหลุดจากบ่าเอาเสียง่ายๆ”
เสียงจากใครบางคนดังขึ้นก่อนจะเดินจากไป ทำเอาเหล่าผู้คนซึ่งอยากรู้ที่มาของสตรีตัวน้อยต่างก็เงียบปาก แล้วทำหน้าที่ของตนต่อ ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มักจะมีบุรุษที่เอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ ยามที่ได้ยินผู้คนเอ่ยถึงสตรีตัวน้อยที่มักออกมาเดินตลาดกับคนสนิทอยู่เป็นประจำ
หลังจากที่ซีซีหลุดมาจากยุคตัวเองและครอบครองร่างผู้อื่น ณ ปัจจุบันก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วการเปลี่ยนแปลงก็เริ่มมีมากขึ้นทุกวันจนคนในจวนต่างก็เริ่มสนใจ เพราะนางจัดสรรหาสิ่งประดิษฐ์แปลกใหม่ขึ้นมาเสมอในทุกวัน แม้กระทั่งคนสนิทของหรานจวิ้นก็ยังแอบมาสืบดู
“พระชายาทำสิ่งใดลี่หยาง” ไห่เฉิงเอ่ยถามสหายทันที ซึ่งมีผู้เป็นนายนั่งนิ่งอยู่มิไกลนัก ปกติเขาจะออกไปข้างนอกเพื่อพบขุนนางหรือไม่ก็ออกไปล่าสัตว์ เพื่อนัดพบกับคุณหนูมินจู แต่สามสี่วันมานี้เขาเฝ้าดูคนตัวเล็กว่าทำสิ่งใดอยู่ในจวนจนมิออกไปข้างนอกเลย
“มิรู้สิ เห็นให้คนสวนหาดอกไม้มามากมาย ซ้ำยังมีต้นไม้ใบหญ้าที่นำมาตากแห้งหลังจวนอีกด้วย”
“ใบไม้หรือ พระชายาคิดจะทำสิ่งใดกัน” คนสนิทหรานจวิ้นเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันมาหาผู้เป็นนายที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ เขามิเอ่ยสิ่งใดแม้แต่น้อยไม่ว่าจะห้ามหรือสนับสนุน
จนสองสหายเริ่มจะทำตัวไม่ถูกเพราะบางทีท่านอ๋องก็ดูจะพอใจ บางคราก็ดูจะมิชอบ โดยเฉพาะยามที่นางออกไปหาแม่ทัพฟาน ซึ่งก่อนนี้หรานจวิ้นก็มิเคยว่ากล่าวอันใด แต่ยามนี้กลับพูดจาค่อนแคะจนซูเยว่เกิดรำคาญใจ
ร่างสูงลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินตรงไปหาชายาตัวน้อยของตนที่กำลังยืนเด็ดใบไม้ที่ออกไปเก็บด้วยตนเอง เมื่อตอนช่วงเช้าของวัน เพราะบางอย่างคนในยุคนี้ไม่รู้จักว่ามันสามารถรักษาโรคได้
แม้มันจะไม่ข้องเกี่ยวกับเธอก็เถอะ แต่ในเมื่อหลุดเข้ามาแล้วก็ต้องใช้ชีวิตและเอาตัวรอดโดยไม่เปล่าปรโะโยชน์ เพราะเธอคงกลับยุคไม่ได้อย่างที่เจ้าของร่างบอก มันไม่ใช่ความฝัน แต่เธอตายไปแล้วและมาอยู่ที่นี่จริงๆ ไม่สามารถกลับไปยังโลกปัจจุบันได้อีก แต่เธออาจได้กลับไปอยู่ที่แคว้นของตัวเองแล้วใช้ชีวิตปกติสุขก็ได้ พอคิดมาถึงตรงนี้ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคนเขียนหายไปไหนกัน แล้วทำไมถึงไม่มาต่อให้จบ ทำไมเธอถึงได้มาอยู่ที่นี่
“เอ๊ะ! หรือว่าเขาจะตาย แล้วถ้าเป็นแบบนั้นมันจะเป็นยังไงต่อไปล่ะ ทุกอย่างมันจะหยุดหรือดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แล้วตัวละครจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า แต่ว่าทุกอย่างมันก็ดูกลับตาลปัตรจริงๆ นั่นแหละ คุณหนูมินจูควรจะรักกับแม่ทัพ ก็กลายเป็นมาอยู่กับอ๋องหรานจวิ้นได้ หรือว่าเรื่องราวมันดำเนินไปเองโดยที่ไม่มีคนเขียนแล้ว” ซีซีครุ่นคิดอยู่กับตัวเองถึงนิยายที่เข้ามาพัวพัน
“พระชายาท่านอ๋องเสด็จมาเพคะ” หลินหยาเอ่ยบอกทำเอามือเล็กชะงักทันที ก่อนจะทำงานของตนต่อเมื่อเรียกสติได้ นางยังคงคลี่ใบไม้ที่ติดกันออกเพื่อให้ถูกแดดทุกใบ
“ไยเจ้าถึงเอาใบไม้เหล่านี้มารกจวนข้า” เสียงตำหนิดังขึ้น พร้อมกับขยำสิ่งที่อยู่ในกระจาดตรงหน้า
“สิ่งเหล่านี้มีค่า หากพระองค์มองมิเห็น ก็อย่าได้เข้ามาวุ่นวายเพคะ เพราะวันข้างหน้ามันอาจจะช่วยชีวิตพระองค์เอาไว้ก็ได้ใครจะไปรู้” ซูเยว่เอ่ยตอบพร้อมกับจับลงที่ข้อมือแกร่งของคนตัวโต เพื่อให้เขาปล่อยของในมือลง
แม้มันจะเป็นแค่แรงมดที่คนตัวเล็กกระทำ แต่มันก็สามารถทำให้อ๋องหนุ่มผละมือออกได้ เขาหรี่ตาลงเพื่อมองใบหน้างามของภรรยา ซึ่งปกติช่วงหลังมานี้ก็มักจะลอบมองอยู่เป็นประจำ จนซูเยว่เองก็อดที่จะประหม่ามิได้ เพราะอีกฝ่ายมองบ่อยเสียเหลือเกิน ทั้งที่แต่ก่อนเอาแต่ค่อนขอดนางมิเว้นแต่ละวัน
“บอกข้ามาว่าเจ้าจะทำสิ่งใด” เขาเอ่ยถามเมื่อคนน้องปล่อยมือออกแล้ว และยังคงจับจ้องใบหน้านี้อยู่
“ใบไม้เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสมุนไพรเพคะ หม่อมฉันจะปรุงยาเก็บเอาไว้ใช้ เผื่อมีเหตุจำเป็น”
“หึ! เป็นผู้หยั่งรู้หรือไง” เขาเอ่ยค่อนแคะอีกฝ่ายทันที
“อาจจะใช่เพคะ” เสียงหวานเอ่ยตอบก่อนจะหันหนีร่างสูงที่มิยอมขยับเขยื้อนไปไหน ซ้ำยังมายืนซ้อนหลังคนตัวเล็กเอาไว้จนตัวหดเหลือนิดเดียว เพราะไม่คุ้นการกระทำของเขาที่ต่างออกไปเลยสักนิด
“ไยพระองค์ถึงมิหลบไปเพคะ หม่อมฉันจะทำงาน” เสียงท้วงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นคนตัวโตมิมีทีท่าจะถอยหนีเลยสักนิด และยิ่งขยับเข้าใกล้ขึ้นทุกที ทั้งยังเอื้อมมือมาช่วยหยิบจับใบไม้จนทำให้ตัวเขาคร่อมอยู่ทางด้านหลัง ทำเอาทุกคนในจวนต่างก็มองเป็นตาเดียว เพราะมิคิดว่าจะได้เห็นภาพเช่นนี้ในจวน ซึ่งมันมิเคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ตัวเจ้าหอมถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู ทำเอาซูเยว่ถึงกับยืนนิ่งมิไหวติง เพราะอีกฝ่ายสูดดมเอากลิ่นหอมที่ติดกายนางเข้าไปด้วย จะไม่ให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรในเมื่อซูเยว่ใช้ดอกไม้บดละเอียดสะกัดเป็นน้ำหอม และผสมเวลาอาบน้ำ รวมถึงสบู่ที่เธอทำขึ้นมาเอง ทุกอย่างมันเลยรวมอยู่บนร่างกายจนมีกลิ่นหอมแบบนี้
“ขยับออกไปเถอะเพคะ หากคนของพระองค์มาเห็นเข้าคงมิดีนัก เพราะนี่เป็นเวลาที่นางกำลังจะมามิใช่หรือ” ร่างเล็กเอ่ยเตือนสติพร้อมกับเบี่ยงตัวออก แต่อีกฝ่ายกลับขยับแขนรั้งเอาไว้อย่างลืมตัว จนมือนั้นวางอยู่ที่เอวเล็กอย่างไม่ตั้งใจ แต่ก็ต้องรีบดึงออกในทันทีเช่นกันเมื่อเสียงของคนสนิทเอ่ยขึ้น
“คุณหนูจางมาแล้วพะย่ะค่ะ” ลี่หยางบอกทันทีเมื่อเห็นว่าสตรีอีกคนกำลังเดินตรงมา หรานจวิ้นยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ต่างจากคนตัวเล็กที่เดินเลี่ยงไปยังอีกมุม
ซึ่งมีกระจาดสมุนไพรวางเรียงรายอยู่ โดยมีสายตาอ๋องหนุ่มมองตาม
“อยู่ที่นี่เองหรือเพคะ หม่อมฉันตามหาเสียตั้งนาน” เสียงจากคุณหนูมินจูดังขึ้น หลังๆ มานี้นางมิเคยคำนับคนทั้งคู่ ยิ่งกับซูเยว่ด้วยแล้วมินจูมักจะเย่อหยิ่งใส่เสมอเพราะเห็นมาแต่ไกลแล้วว่าก่อนนี้ทั้งสองคนยืนใกล้ชิดกันเพียงใด นางจึงพยายามเก็บอาการไว้ แต่มันก็ไม่มิดเลยสักนิด เมื่ออารมณ์ฉุนเฉียวกำลังก่อตัว ซูเยว่ยืนมองดูสตรีที่มักจะเข้ามาหาสามีตนแทบจะทุกวัน นับตั้งแต่นางถอนหมั้นแม่ทัพฟานเมื่อสามวันก่อน
การเข้านอกออกในของนางมิเคยคิดจะคำนับผู้ที่สูงกว่าเลยสักครั้ง แต่วันนี้ซูเยว่คงต้องเอ่ยตักเตือนอีกฝ่าย เพราะถึงอย่างไรเสียนางก็เป็นถึงพระธิดาของฮ่องเต้แคว้นหนาน แม้มินจูจะไม่เคารพในฐานะพระชายาของอ๋องร้ายผู้นี้ก็เถอะ แต่จะปล่อยไปคงมิดีนัก
“ข้าเห็นเจ้ามาที่นี่แทบทุกวัน แต่มิยักจะทำความเคารพข้าเลยสักครา มิรู้ว่าเสนาขวาสอนบุตรีเช่นไร ถึงปล่อยให้ไร้มารยาทถึงเพียงนี้ อ่อ! แล้วถ้าจะเอ่ยว่าตนเป็นคนโปรดของท่านอ๋อง ก็จงรู้ไว้นะว่าจวนนี้ข้าคือผู้ดูแลในฐานะพระชายา ตราบใดที่ข้ายังอยู่ในตำแหน่งนี้ เจ้าก็เป็นได้แค่สตรีอุ่นเตียง ที่ถูกเรียกมาเท่านั้น”
เสียงเรียบเอ่ยขึ้นพร้อมกับสายตาจริงจังจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง ทำเอามินจูถึงกับหน้าถอดสี เพราะมิคิดว่าอยู่ดีดีพระชายาที่มิเคยมีปากเสียง และมิเคยเอ่ยว่าสิ่งใดตนจะกล้าเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ได้ และที่สำคัญคนข้างกายมิเอ่ยสิ่งใดแม้แต่น้อย ทำให้นางต้องปิดปากเงียบและคำนับสตรีตรงหน้าอย่างเสียมิได้