3. หล่อนะแต่ร้าย
ซีซีไม่คิดว่าเจ้าของร่างจะรอดมาได้ถึงตอนนี้ เพราะสมัยก่อนแต่งงานก็มีลูกกันตั้งแต่อายุเท่านี้ทั้งนั้น ได้ยินทีแรกคิดว่าตัวเองต้องเลี้ยงลูกด้วยซ้ำไป แต่ก็ผิดคาดที่นางกำนัลบอกว่ายังไม่เคยแม้แต่เข้าหอกับสามี เจ้าของร่างคงเป็นทุกข์มากแน่แบบนี้ เพราะดูท่าสามีคงไม่รักเอามากๆ ตอนที่อ่านตัวละครนี้คนเขียนก็ไม่ได้เอ่ยถึงเลยด้วยซ้ำ
“จริงเพคะ ท่านอ๋องทรงพอใจบุตรสาวของท่านเสนาขวาเป็นอย่างมาก แต่นางก็มีคู่หมายคือท่านแม่ทัพฟานที่พึ่งเข้ามารับตำแหน่งเมื่อสามปีก่อน จนตอนนี้เป็นที่ไว้วางใจของฮ่องเต้เป็นอย่างมาก และอีกมินานก็จะสมรสกัน แต่ท่านอ๋องก็ยังคงปรารถนานาง หมายจะเอามาแทนที่พระชายาให้ได้เพคะ” นางกำนัลคนสนิลของซูเยว่เอ่ยร่ายยาวให้ฟัง ดูท่าเธอคงจะไม่ชอบท่านอ๋องที่ว่านี้เหมือนกัน จึงได้พูดถึงเขาราวกับโกรธเคืองกันนักหนา
“เสี่ยวชิง ไยเจ้าเอ่ยเรื่องนี้ให้พระชายารับฟัง อยากให้พระองค์เจ็บช้ำน้ำใจหรืออย่างไรกัน” หลินหยาเอ่ยตำหนิ
“ไม่เป็นไรข้าไม่คิดมาก เอ่ยมาเถอะข้าฟังได้ และจงจำเอาไว้ว่าข้ามิใช่ซูเยว่คนเดิม ที่จะเศร้าเสียใจเรื่องบุรุษผู้นี้ เพราะฉะนั้นมีสิ่งใดที่ข้าควรรู้เอ่ยมาให้หมด”
เมื่อผู้เป็นนายเอ่ยเช่นนั้นนางกำนัลคนสนิทก็บอกเล่าจนหมดเปลือก ทำให้ซีซีตระหนักได้แล้วว่าตัวเองนั้นหลุดมาอยู่ในนิยายที่เคยอ่าน แต่คนเขียนกลับหายไปไม่มาต่อนี่สิ ทำให้เธอฝังใจและยังไม่รู้ว่าใครเป็นพระเอก
แถมยังกลายมาเป็นพระชายาของอ๋องใจโฉดที่ไม่ได้มีตัวตนในเรื่อง นอกจากระบุว่าท่านอ๋องหรานจวิ้นอภิเษกกับองค์หญิงต่างแคว้นแล้วเท่านั้น เหตุการณ์อย่างอื่นของซูเยว่ก็ไม่ปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย
“แต่ถ้าแบบนี้ข้าก็สามารถเขียนจดหมายหย่าได้ใช่หรือไม่ หากมิพอใจจะอยู่ที่นี่แล้ว”
“เพคะ แต่คงมิใช่ยามนี้เพราะต้องรอให้ครบหนึ่งปีกับการไว้ทุกข์ของแคว้นหนานเสียก่อน ฮ่องเต้พึ่งสวรรคตไปเพียงแค่สี่เดือน คงต้องรอให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปก่อนเพคะ”
หลินหยาเอ่ยบอกเหตุผล ซึ่งยังต้องรอให้พระเชษฐาของซูเยว่ขึ้นครองราชย์ก่อนด้วย หากเขียนจดหมายหย่ายามนี้คงเกิดข้อพิพาทระหว่างสองแคว้นเป็นแน่
“อ้าว! เป็นงั้นไปอีก เห้อ! แต่ก็เอาเถอะไงท่านอ๋องก็ไม่มาที่นี่อยู่แล้วมิใช่หรือ อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนเห็นหน้ากันแหละเนาะ ว่าแต่คนไหนที่เป็นสามีข้าล่ะ”
“ก็ผู้ที่บอกว่าไยพระชายาถึงมิตายไปเสียอย่างไรล่ะเพคะ นั่นแหละท่านอ๋องหรานจวิ้นที่น่าเกรงขาม”
“โหดร้ายโฉดชั่วสิไม่ว่า ไม่สมกับหน้าตาหล่อๆ นั้นเลย” ซีซีพูดขึ้นทำเอานางกำนัลทั้งสองถึงกับหันซ้ายขวาทันที เพราะเกรงว่าจะมีคนมาแอบฟัง
“อย่าเอ่ยดังไปเพคะ” หลินหยาเอ่ยเตือน
“ฮ่าฮ่า กลัวเหรอ” เสียงหัวเราะดังขึ้น ก่อนจะถามในสิ่งที่อยากรู้อีกครั้ง “ว่าแต่ท่านแม่ทัพรูปงามไหมหลินหยา”
“ไยพระชายาเอ่ยถามเช่นนี้เพคะ มิควรเลยสักนิด”
“ก็ข้าอยากรู้นี่ ขนาดท่านอ๋องยังรูปงาม มีหรือที่ท่านแม่ทัพจะไม่น่าหลงใหล ในเมื่ออายุก็น้อยกว่าด้วย”
ความฝันที่อยากจะเห็นหน้าพระเอกตัวจริงในนิยายที่เธอชอบอยู่ตรงหน้า ใครมันจะยอมพลาดกันล่ะ เมื่ออีกคนไม่ตอบเธอก็หันไปหาเสี่ยวชิงทันที เพื่อกดดันให้นางเล่าเรื่องราวให้ฟัง ซึ่งเธอก็ไม่ผิดหวังเลยสักนิดเมื่อนางอ้าปาก
“รูปงามมิแพ้กันเพคะ เพียงแต่ประสบการณ์ด้านต่างๆ แม่ทัพฟานอาจจะสู้ท่านอ๋องมิได้ แต่ก็เป็นที่หมายปองของสตรีทั่วไปเป็นอย่างมาก แม้จะมีคู่หมายแล้ว”
“งั้นหรือ” ยิ้มหวานเผยขึ้นก่อนจะหุบลงเมื่อมีใครกำลังเดินเข้ามา ซึ่งเธอพอจะจำได้ดีว่าเขาคือใคร
“หึ! ข้าคิดว่าจะจับไข้จนตายไปเสียแล้ว” ร่างสูงในอาภรณ์สีดำรูปปักลายมังกรบ่งบอกฐานะอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่คือสามีเจ้าของร่าง เธอนิ่งเงียบเพื่อรอดูท่าทีของอีกฝ่าย พร้อมกับเหลือบมองเป็นบางช่วงก่อนจะนึกในใจ
“เป็นตัวร้ายต้องหล่อขนาดนี้เลยเหรอเนี่ยะ” การเผชิญหน้าครั้งนี้ของอ๋องหรานจวิ้นและพระชายาซูเยว่ดูท่าจะต่างออกไปจากทุกครา นับแต่อภิเษกกันมาเขามิเคยใส่ใจนางเลย บางทีสั่งลงโทษเพียงเพราะอีกฝ่ายเข้าหาที่ห้องบรรทม
แต่นางก็ยังจงรักภักดีมิปริปากเรื่องต่างๆ ให้ถึงหูฮ่องเต้ หรือแคว้นของตนให้รับรู้ แต่วันนี้ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาหาใช่สตรีคนเดิมไม่ ปกติซูเยว่จะมิกล้าแม้แต่จะสบตาต่างจากตอนนี้
นางมองเขาราวกับเป็นบุรุษธรรมดาทั่วไป จนทำเอาอ๋องหนุ่มเกิดความสงสัยแต่มีหรือที่เขาจะเอ่ยปากถาม ลองนางทำผิดในสายตาเขาสิรับรองว่าถูกสั่งขังเป็นแน่
“ท่านมีอะไรกับข้างั้นหรือ” เธอเอ่ยปากถามเพราะอีกฝ่ายเอาแต่จ้องมองราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
“เรียกท่านอ๋องเพคะ” หลินหยาสะกิดพร้อมกับเอ่ยบอกเพราะปกติซูเยว่จะมิได้เอ่ยเรียกเช่นนี้ ทำเอาทุกคนเกิดความสงสัยมิต่างกัน ยิ่งนางกำนัลสองคนนี้ได้ฟังคำของพระชายาเอ่ยตั้งแต่ฟื้นมา ก็ยิ่งประหลาดใจมากกว่าคนอื่นๆ แต่ก็คิดว่าคงเป็นเพราะยังมีไข้อยู่
“หึ! พระชายากล้าเอ่ยเรียกท่านอ๋องเช่นนี้ด้วยหรือ คงอยากกลับไปนอนในห้องมืดอีกสินะพะย่ะค่ะ” ลี่หยางองครักษ์คนสนิทของหรานจวิ้นเอ่ยขึ้นด้วยเสียงหยัน ซึ่งมันเป็นปกติของเขาอยู่แล้ว เพราะผู้เป็นนายอนุญาตให้เอ่ยสิ่งใดก็ได้ หากจะทำให้สตรีตรงหน้านี้ออกไปจากจวนของเขาเสีย
“เอ๋! แค่ลืมเรียกชื่อก็จะสั่งขังเชียวเหรอ มันจะเกินไปไหม ฉันก็ลูกมีพ่อมีแม่นะ จะมาข่มเหงรังแกกันแบบนี้ได้ไง อีกอย่างฉันเป็นพระชายาไม่ใช่เหรอ ทำไมคนติดตามสามีฉันถึงกล้าพูดจาไม่ให้เกียรติกันแบบนี้ล่ะ ถ้าฉันบอกให้ฮ่องเต้ลงโทษคุณก็ได้เหมือนกันน่ะสิ”
เสียงหวานเอ่ยขึ้นพร้อมกับจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ทำเอาคนที่มิเคยถูกยอกย้อนถึงกับชะงักไป เพราะสตรีตรงหน้ามิเคยเอ่ยสิ่งใดนอกจากคำว่าเพคะกับผู้เป็นนาย แม้ตนจะเป็นผู้ออกปากแทนก็เถอะ ทุกคนต่างก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็หวาดกลัวแทนซูเยว่อยู่เหมือนกัน ว่านางอาจจะถูกลงโทษอีกครั้งหากต่อต้านเช่นนี้ อีกทั้งถ้อยคำประหลาดที่เอ่ยออกมาแม้จะพอเข้าใจได้แต่มันก็ประหลาดและไม่เข้าใจในบางคำอยู่ดี
“มิกลัวตายเลยสินะ” เสียงทุ้มเย็นดังขึ้นพร้อมกับนัยน์ตาคมจ้องมองคนตรงหน้า
แม้อีกฝ่ายจะงดงามราวภาพวาด แต่เขาก็มิคิดจะชายตาแลสตรีอ่อนแอที่ทำสิ่งใดมิเป็นเช่นนี้ ดีแต่แต่งกายงดงามไปวันๆ อีกทั้งยังดูขี้โรคและเย่อหยิ่งถือตัวว่าเหนือกว่าผู้อื่น สิ่งใดมิทำนอกจากจะจ้องเข้าหาเขาเท่านั้น ต่างจากสตรีที่เขาหมายปองให้ครอบครองตำแหน่งนี้
“ชิ! ทำไมฉันต้องกลัวล่ะ ไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย”
“นี่เจ้า!” ลี่หยางส่งเสียงดังใส่ทันที ทำเอาทุกคนต่างก็ก้มหน้าตื่นกลัว เพราะหากเป็นเช่นนี้มินานซูเยว่คงถูกลงโทษเป็นแน่ ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริง
“เอาตัวนางไปขังไว้ ห้ามปล่อยออกมาจนกว่าจะได้รับคำสั่งจากข้าเท่านั้น” เสียงเย็นชาไร้ปราณีดังขึ้น ทำเอาทุกคนพากันหน้าเสียในทันที ต่างจากคนตัวเล็กที่ยืนนิ่ง
“หากจะลงโทษฉันท่านอ๋องก็ต้องลงโทษคนของท่านด้วย ข้าเป็นใครก็ควรจะรู้ดี ปล่อยให้ลามปามผู้เป็นนายเช่นข้าที่เป็นถึงพระธิดาองค์เดียวของแคว้นหนาน รู้ถึงไหนคงได้อายถึงนั่นคนอื่นจะว่าเอาได้ว่าไร้การอบรม คงได้เสียหายมาถึงท่านอ๋องด้วยเป็นแน่เพคะ”
เสียงหวานเอ่ยอย่างมิกลัวเกรง พร้อมกับยืนมองอีกฝ่ายมิหลบตา จนหรานจวิ้นยกยิ้มให้กับท่าทีอวดดีของนางที่มิเคยพบเห็นมาก่อน ถึงแม้นางจะเอ่ยเช่นนี้เขาก็เชื่อว่านางมิมีทางทำได้แน่ เพราะคนในจวนต่างก็รู้ว่าซูเยว่นั้นสำออยเพียงใด
อีกทั้งยังเจ้าน้ำตาหาใครเปรียบมิได้ แม้ยามนี้เขาจะแปลกใจกับท่าทีของนางก็เถอะ หากคนของตนจับเขาห้องมืดอีกมินานก็จะต้องร้องขอให้ปล่อย แต่! นี่ก็ผ่านไปสักพักแล้วไยนางถึงยังนิ่งเฉย ไม่แสดงท่าทีเกรงกลัวเขาสักนิด รวมถึงลี่ หยางและไห่เฉิงที่ยืนอยู่ข้างกายเขา
ซูเยว่ก็ไม่มีท่าทางจะก้มหัวให้เหมือนแต่ก่อน เมื่อเห็นเช่นนี้มือเรียวก็ดึงเอาแขนเล็กให้เดินตามตนเอง เพราะดูท่าคนของตนคงกลัวคำขู่ของนางเป็นแน่
ร่างเล็กถูกโยนเข้าไปในห้องมืดที่ว่า ซึ่งมันอยู่อีกด้านของตำหนักและห่างไกลเรือนหลักอยู่มาก ทุกอย่างก่อนนี้อยู่ในสายตาของซีซีผู้ที่ครอบครองร่าง เธอมองสำรวจทุกอย่างเท่าที่ทำได้ แม้จะถูกอีกฝ่ายกระชากดึงก็เถอะ แต่มีหรือสาวสวยไอคิวระดับนี้จะนิ่งให้ทำฝ่ายเดียว
“ปิดประตู อย่าได้เปิดจนกว่าข้าจะสั่ง” เสียงทุ้มเย็นดังขึ้นก่อนจะส่งยิ้มร้ายให้ร่างเล็กตรงหน้าซึ่งตอนนี้ลุกขึ้นยืนแล้ว เขาหวังจะได้เห็นสีหน้าของนางที่เอาแต่ร้องฟูมฟายเช่นทุกครั้ง
แต่เปล่าเลยเมื่อคนตัวเล็กเดินไปยังหน้าต่างเพื่อเปิดมันและปีนออกมาดื้อๆ จนทุกคนตื่นตะลึงไปตามๆ กัน ซูเยว่เดินกลับไปยังเรือนของตน โดยมีสายตาของหรานจวิ้นมองตาม เขามิอาจเชื่อสายตาตนเองได้เมื่อเห็นเช่นนี้ หลายอย่างที่แปลกไปทำให้เขาเริ่มคิดหาเหตุผล จนลืมที่จะจับนางมาลงโทษอีกครั้ง
“ท่านอ๋องไยนางถึงกลายเป็นเช่นนี้พะย่ะค่ะ”
“นั่นสิ กระหม่อมมิอาจเชื่อสายตาได้เลยว่านางจะปีนหน้าต่างออกไปเช่นนั้น หรือแต่ก่อนนางเพียงแค่แกล้งทำ” สองสหายเอ่ยในสิ่งที่สงสัย เพราะทุกอย่างดูจะประหลาดไปตั้งแต่พระชายาฟื้นขึ้นมา นางดูแข็งกร้าวขึ้นราวกับเป็นคนละคน
“คำพูดนางต่างออกไปจากเดิมมาก” หรานจวิ้นเอ่ยขึ้นบ้าง ก่อนจะยกน้ำชาขึ้นจิบพร้อมกับใช้ความคิดไปด้วย ซึ่งยามนี้ทั้งสามกำลังตกอยู่ในห้วงของความสงสัยที่มีมากจนมิอาจจะหาคำตอบได้