บทที่ 6 บังเอิญ! ครั้งนี้ก็บังเอิญเหมือนกัน!
ทั้งสองจับนกตัวใหญ่ได้คนละหลายตัว ตกใส่กิ่งไม้หล่นลงเป็นชั้นๆ
นกเหล่านั้นหวีดร้องพยายามกระพือปีกสุดกำลัง และสามารถเพลาแรงดิ่งลงได้ในที่สุด
กิ่งไม้ครูดผ่านร่างกายเป็นครั้งคราว และหยุนฉือก็ได้ยินเสียงเสื้อผ้าถูกเกี่ยวขาดอยู่เนืองๆ นางก่นด่าเป็นพรวนอยู่ในใจ ทับเสื้อผ้าไว้แน่น
ครั้งนี้ถ้ารอดชีวิตไปได้ นางต้องจับฮูหยินอะไรนั่นกับไอ้ผู้ชายสองคนที่โยนนางลงฉีกเป็นชิ้นๆ แน่!
เวลาเช่นนี้นางมีใจฟังคำถามที่เขาพูดเมื่อกี้ที่ไหนกันเล่า? ร้อยปักษาตามวิหคหงส์อะไรนางไม่รู้ทั้งนั้น แต่จริงที่ร้อยปักษาช่วยชีวิตนางไว้!
สวรรค์มีตา
“สวรรค์โปรดอย่างทำใบหน้าอันงดงามของข้าเป็นแผลเลยนะ! ไปปรโลกแล้วข้ายังต้องอาศัยความงามขอไปเกิดที่ดีๆ กับท่านพญายมอีก!”
เมื่อได้ยินเสียงนางพูดแล้ว เขาก็ทำหน้าขมึง
เขายื่นมือออกไปจับง่ามไม้แน่น และหยุดแรงลงได้ในที่สุด
เมื่อหยุนฉือสังเกตเห็นแล้วจึงปล่อยนกไป แล้วยื่นมือไปฉุดเขา
เมื่อชายงามรู้สึกหน่วงที่เอว นัยน์ตาก็เย็นยะเยือก ใบหน้านิ่งจนแทบแช่คนแข็งตายได้
นางคนนี้!
นางคนนี้กระชากสายรัดเอวเขาอีกแล้ว!
เมื่อหยุดการดิ่งได้หยุนฉือก็ถอนหายใจยาวเฮือก แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าตนห้อยอยู่กับเอวชายงามแบบแปลกๆ อีกแล้ว
ครั้นแล้วนางก็ทำหน้าเจื่อน
“บังเอิญ! ครั้งนี้ก็บังเอิญจริงๆ!”
……
มวลผกาเต็มสวน ผีเสื้อหลากสีโบยบิน ทุกหนแห่งล้วนงามตา และภายในสวนนั้นที่งามบรรจงที่สุด... นางหงฮูหยินของเจ้าสำนักเซียนฉีกับสาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มอีกสองคนกำลังมองสาวน้อยที่กำลังนอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ในมุ้งตาข่ายสีชมพูอย่างตื่นตระหนก
สาวน้อยขนตาดกแพงอนดุจพัดสองอัน เกิดเป็นเงาจางๆ ผิวพรรณขาวผ่อง ปากเชอร์รี่อมชมพู รูปโฉมงดงามเหนือผู้คน
ทว่ามุมหน้าผากนางกลับพันด้วยผ้าพันแผล แถมยังมีรอยเลือดซึมออกมาอีก
นางหงอดไม่ไหวจับมือสาวใช้ที่อยู่ด้านข้าง น้ำเสียงสั่นเครือ “ฟางเฉ่า เจ้าว่าชูไต้ของข้าฟื้นแล้วจะเกิดปัญญาได้จริงหรือ?
แม้สาวใช้ที่ชื่อฟางเฉ่าพูดจาว่องไวแต่ก็พูดออกไปด้วยความมั่นใจ “ฮูหยิน ต้องได้แน่นอนเจ้าค่ะ นี่เป็นคำทำนายของท่านเทียนซือจือยีเชียวนะ คำทำนายของท่านเทียนซือจือยีไม่เคยผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว ด้านนอกจู่ๆ ก็มีฝูงนกบินมา นี่มันร้อยปักษาตามวิหคหงส์ ฮูหยินก็เคยเจอมานี่เจ้าคะ! นี่ก็คือลางที่คุณหนูจะเกิดปัญญาไม่ใช่หรือเจ้าคะ? อีกอย่าง ตอนนั้นท่านเทียนซือจือยียังกล่าวอีกด้วย ว่าการที่คุณหนูจะเกิดปัญญาต้องอายุครบสิบหกปี ท้องฟ้าเป็นสีเลือด ท่านดูสิ แม่นจริงๆ คุณหนูเกิดวันนี้ ไม่ทันระวังถูกก้อนหินบนภูเขาตกลงมาใส่ศีรษะ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าที่ท่านเทียนซือจือยีกล่าวนั้นถูกต้อง”
ว่าแล้วนางก็มองสาวน้อยบนเตียงด้วยความหวัง
สำนักเซียนฉีเป็นพรรคโอสถศักดิ์สิทธิ์ชื่อดังของแผ่นดิน ราชวงศ์ทุกเมืองต่างต้องยอมให้ บุตรีของเจ้าสำนักก็คือธิดาเทพ ฐานะของธิดาเทพอยู่เหนือกว่าท่านหญิง เรียกได้ว่าทั้งรักและเอาใจสุดแสน
ทว่าเจ้าสำนักรุ่นนี้มีเพียงหยุนชูไต้เป็นบุตรีเพียงคนเดียว ทั้งธิดาเทพผู้นี้ยังเป็นคนโง่เขลาแต่เล็ก สติปัญญาต่ำต้อย
โชคดีที่ตอนอายุสิบสามขวบได้เทียนซือจือยีทำนายให้ ว่าธิดาเทพจะปราดเปรื่องแบบฉับพลันในวันครบรอบวันเกิดสิบหกปี มีดวงฮองเฮา ไหวพริกหลักแหลม เปล่งประกายส่องสว่าง
ผู้คนในสำนักเซียนฉีต่างรอวันนี้ และราชวงศ์ทุกเมืองก็ชะเง้อเฝ้ารอด้วย
สาวน้อยบนเตียงขยับแพขนตาเล็กน้อย ค่อยๆ ลืมตามขึ้นมา
“ชูไต้ เจ้าฟื้นแล้ว!” นางหงโผเข้ากอดทันที “เจ้ายังจำแม่ได้ไหม?”
นัยน์ตาหยุนชูไต้ตื่นตระหนก ประหลาดใจ เหลือเชื่อ จากนั้นก็เป็นความยินดีอย่างหนัก ยื่นมือเข้ากอดมารดา เรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่านแม่?”