ตอนที่ : 4 จ้องเหยื่อ 2
"แกว่าอะไรนะภู เอาใหม่ซิฉันฟังแล้วงงๆ อยู่"
"ผมบอกว่าอ้อยหวานปฏิเสธที่จะมาเป็นเมียเก็บผม ผมก็เลยอยากให้พี่วิมล์บังคับ"
"บังคับ"
"ใช่ ไปบังคับยัยนั่นให้ยอมเป็นเมียเก็บผมนะพี่วิมล์"
"อะไรๆ ฉันอาจจะตามใจแกได้นะภู แต่เรื่องนี้มันเกินไป เมื่อเขาไม่อยากเป็นเมียเก็บแก แกจะไปบังคับเขาทำไม" วิมล์ไม่อาจทำตามที่น้องชายขอร้องได้ เขาต้องให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม
"ก็ผมอยากได้นี่พี่วิมล์" คนเป็นน้องก็เอาแต่ใจอยู่ฝ่ายเดียว
"อยากได้ก็หาทางเอาชนะใจเขาสิ ไหนมั่นอกมั่นใจนักไม่ใช่เหรอ เสน่ห์เชิงชายของตัวเองน่ะ หรือว่าหมดไปแล้ว" วิมล์มองน้องชายด้วยหางตา แน่นอนว่าตำหนิไปในตัว
"ไม่หมดหรอกแต่ยัยนั่นน่ะตาบอดเอง" เมื่อไม่ได้ดั่งใจวิภูก็งอแงเป็นเด็กๆ
"แล้วยัยนั่นอยู่บ้านเราเฉยๆ เหรอพี่วิมล์ พ่อให้เงินไหม" เมื่อไม่ยอมก็ต้องอยู่อย่างไม่ง่าย
"ให้"
"เดือนละเท่าไหร่"
"หมื่นห้า"
"งั้นตัดทิ้งเลย ไหนๆ พ่อก็ตายไปแล้ว ยัยนั่นก็ไม่ทำหน้าที่ต่อ ระงับเงินเดือนไปเลย เอาไว้ให้ยอมทำงานต่อแล้วค่อยจ่ายตามเดิม" คนพาลก็ระรานเรื่องอื่นต่อ
"ภูนี่แกจะไปบีบเขาทำไม"
"ไม่ได้บีบ นี่มันสมน้ำสมเนื้อที่สุดแล้วพี่วิมล์ งานไม่ทำแต่จะมานั่งๆ นอนๆ กินอย่างเดียวไม่ได้ นอกจากอ้อยหวานแล้วก็ยังจะมีน้านาตอีก สองคนก็ปาเข้าไปเท่าไหร่แล้ววันหนึ่งๆ"
"เพิ่งรู้ว่าแกงก ปกติเห็นแจกเงินสาวๆ เป็นว่าเล่น"
"พี่วิมล์ก็อย่าเพิ่งขัดได้ไหม ไประงับเงินเดือนยัยนั่นเลยพรุ่งนี้ก็สิ้นเดือนแล้วเอาให้เข็ดไปเลย เล่นตัวดีนัก"
"แกแน่ใจเหรอภูว่าที่เขาไม่เล่นด้วยน่ะคือเขาเล่นตัว หรือว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้ชอบแก"
"พี่วิมล์หน้าอย่างผมนี่ ใครเห็นแล้วไม่หลงไม่รักบ้างไม่มีหรอก ยัยนั่นน่ะเล่นตัวชัดๆ" คนหลงตัวเองเสียงสูงใส่พี่ชาย
"ตามใจแก พรุ่งนี้จะให้คนจัดการให้" วิมล์เบื่อจะเถียงเรื่องไร้สาระแบบนี้ต่ออีกจึงตัดบทรับปากง่ายๆ ไป
"ดี ผมไปนอนก่อนล่ะ" เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว วิภูก็เดินตัวปลิวขึ้นบ้านไปอย่างอารมณ์ดี เพราะเขามั่นใจว่าไม่ช้าอ้อยหวานก็ต้องซมซานมาขอขึ้นเตียงกับเขาเอง
อ้อยหวานได้รับแจ้งเรื่องระงับเงินเดือนจากวิมล์ในช่วงเช้า ซึ่งคนแจ้งเองก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมา แต่จะให้บอกเหตุผลตรงๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องดีนัก ชายหนุ่มจึงยกเหตุผลอ้อมๆ มาบอกแทน
"พ่อเสียไปแล้ว เธอเองก็ไม่ได้ทำหน้าที่...เมียเก็บ ฉันจึงต้องระงับเงินเดือนที่พ่อโอนเข้าบัญชีของเธอนะอ้อยหวาน" เขาใช้คำพูดแบบนุ่มนวลที่สุด พบว่าใบหน้าของคนฟังนิ่งงันเพียงเล็กน้อย ก่อนจะแย้มยิ้มบางๆ ให้เขา
"ไม่เป็นไรค่ะคุณวิมล์ อ้อยหวานเข้าใจ"
"แล้ว เอ่อ เธอจะมีเงินใช้ไหม"
"มีค่ะ เงินแต่ละเดือนอ้อยหวานแบ่งเก็บไว้ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ กว่าจะครบปีก็ยังพอมีใช้อยู่ค่ะคุณวิมล์"
"งั้นก็ดี วันนี้มีทำบุญที่บริษัทฉันกับภูต้องออกแต่เช้าหน่อย เธอไปตั้งโต๊ะได้แล้ว"
"ค่ะคุณวิมล์"
อ้อยหวานไม่รู้สึกตกใจแต่อย่างใดสำหรับเรื่องนี้ เพราะเธอเองก็เพิ่งเรียนจบกำลังจะหางานทำอยู่พอดี นับว่าต้องขอบคุณเงินเดือนแต่ละเดือนที่นายอัครชัยมอบให้ เธอจึงมีทุนทรัพย์ในการเล่าเรียนระดับอุดมศึกษา และเพิ่งรับปริญญาไปหมาดๆ เมื่อปลายปี ส่วนมารดาก็ยังมีค่าจ้างในการเป็นแม่บ้านทำความสะอาดที่นี่ด้วยอีกแรง สองแม่ลูกจึงอยู่ได้อย่างสบายไม่เดือดร้อนอะไร
ระหว่างจัดโต๊ะอาหารให้เจ้าของบ้าน วิมล์ก็หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน คนเป็นน้องชายที่เพิ่งจะเดินลงมาจากบันไดก็ตรงเข้าไปประชิดตัวของอ้อยหวานในทันที
"เอ๊ะ" เพราะตกใจจึงได้ชักสีหน้าใส่เขา
"ไหนวันนี้ทำอะไรกิน" วิภูยื่นหน้าเฉียดปลายจมูกของอ้อยหวานไปนิดเดียว ซึ่งหญิงสาวก็นึกโกรธอยู่ไม่น้อยรีบถอยห่างออกไปอยู่ด้านหลัง
"ตักสิ รออะไรอยู่" วิภูติงคนที่ยืนนิ่งจ้องเขาตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า
"ค่ะ" อ้อยหวานรีบตักข้าวต้มใส่ถ้วยนำไปวางบนโต๊ะให้ทั้งคู่ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่หน้าที่ของเธอแม้แต่น้อย แต่เมื่อติดค้างสัญญากันหนึ่งปีก็ต้องถือว่าทำงานบ้านใช้หนี้ไปพลางๆ ก็แล้วกัน
"น้านาตไปไหนอ้อยหวาน" คนที่ทำตัวเงียบที่สุดเอ่ยถามหญิงสาว
"แม่ไปตลาดค่ะคุณวิมล์"
"วันนี้ฉันกับภูอาจจะกลับค่ำๆ นะ เธอกับแม่ไม่ต้องทำกับข้าวเย็นรอนะ"
"ค่ะ" อ้อยหวานไปนั่งรอทั้งคู่จัดการกับมื้อเช้าอีกมุมหนึ่งของห้อง และเมื่อได้ยินเสียงเลื่อนเก้าอี้ก็รีบเข้าไปเก็บจานชาม เพื่อที่เธอจะได้ไปสัมภาษณ์งานที่สมัครเอาไว้
"ถ้าไม่อยากอดตายก็ยอมขึ้นเตียงกับฉันเสียดีๆ" หญิงสาวถึงกับผงะเมื่อวิภูเดินเข้ามากระซิบเบาๆ ตรงใบหู ส่วนวิมล์ก็เดินพ้นประตูไปขึ้นรถเสียแล้ว
"ไม่ค่ะ ต่อให้อดตายอ้อยหวานก็ไม่ทำ"
"อวดดี!"
"ภูจะสายแล้วนะ!" ยังไม่ทันจะได้ต่อปากต่อคำกันต่อ เสียงของคนที่มีอำนาจมากที่สุดในบ้านก็ดังขึ้น
"ฝากไว้ก่อนเถอะยัยตัวแสบ"
'อย่าลืมกลับมาเอาก็แล้วกัน' อยากจะโต้ตอบแบบนี้ ให้ตายเถอะ คนบ้าอะไรมีดีแค่หน้าตาจริงๆ
หลังจากเก็บกวาดมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว อ้อยหวานก็ออกไปสัมภาษณ์งานที่ได้สมัครเอาไว้เมื่อสัปดาห์ก่อน แม้จะไม่ใช่สายที่เรียนมาโดยตรง แต่การได้งานในตำแหน่งแคชเชียร์ที่สวนอาหารใกล้บ้านก็ไม่เลวนัก
"เลิกกี่โมงกี่ยามกันล่ะอ้อยหวานงานที่ว่านี่" นางนาตยานึกห่วงลูกสาวขึ้นมา
"ก็มีสองกะน่ะแม่ ช่วงเช้าเข้างานแปดโมงเลิกงานห้าโมงเย็น ส่วนอีกกะก็เข้าเที่ยงเลิกสี่ทุ่ม"
"เลิกดึกแบบนั้นจะกลับบ้านยังไง"
"แม่สวนอาหารก็อยู่ริมหาดตรงนี้นี่เอง เดินมาก็ได้ขี้เกียจก็นั่งวินเข้ามา"
"ซอยนี้มันเปลี่ยวอยู่นะอ้อยหวานแม่ว่ามันไม่ดีมั้ง ไม่ลองไปหางานอื่นทำดูล่ะลูก"
"งานอื่นมันไกลบ้านนะแม่ อยู่ที่นี่แหละอดทนไปก่อนสักปี จากนั้นพอเราออกจากบ้านหลังนี้ค่อยไปหางานทำใหม่ ไปทำที่กรุงเทพฯ ก็ได้ แม่ก็ย้ายตามอ้อยหวานไปด้วย"
"แต่แม่อยากอยู่ที่นี่นะอ้อยหวาน แม่เกิดและโตที่นี่กรุงเทพฯ แม่ไม่ชอบ"
"อย่างงั้นก็ได้ค่ะ ถ้าเราไปจากที่นี่แล้วเราจะไปเช่าบ้านอยู่แล้วอ้อยหวานก็หางานที่ทำเช้าเลิกเย็นดีไหมแม่ แต่ตอนนี้ทนทำที่นี่ไปก่อนนะ"
"แต่แม่ว่า"
"เราจะได้มีเงินเก็บเยอะๆ ไงแม่ ออกจากที่นี่ไปแล้วก็ต้องเช่าบ้านข้าวก็ต้องซื้อกินเอง ควรจะมีทุนสำรองเอาไว้เยอะๆ"
"ถ้าอ้อยหวานว่างั้นแม่ก็ว่าตาม ว่าแต่เริ่มงานวันไหนล่ะ"
"อีกสองวันค่ะแม่"
อนาคตของสองแม่ลูกกำลังจะมีแสงสว่างลอดผ่านเข้ามา สัญญากำลังจะหมดในเวลาอีกหนึ่งปีเท่านั้นเอง ทุกอย่างกำลังจะเดินไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่อุปสรรคก็มักจะมาขวางทางทุกคนเสมอ ไม่เว้นสองแม่ลูกคู่นี้