บทย่อ
เมื่อบิดาของวิมล์และวิภูได้เสียชีวิตลง สิ่งที่ท่านได้ทิ้งเอาไว้นอกจากจะเป็นสมบัติทั้งหมดของตระกูลแล้ว ยังมีเมียเก็บหน้าตางดงามอีกคน วิมล์ต้องการให้ผู้หญิงคนนี้ออกจากชีวิตของเขาและน้องชายไป แต่วิภูต้องการจะใช้บริการเมียเก็บของบิดา ให้คุ้มกับสัญญาที่เหลืออยู่อีกหนึ่งปี แล้วเธอล่ะ อ้อยหวาน เธอจะมีสิทธิ์เลือกผู้ชายสักคนในชีวิตได้หรือไม่ ตามไปให้กำลังใจอ้อยหวานกันนะคะ
ตอนที่ : 1 เมียเก็บพ่อ
1
เมียเก็บพ่อ
ในบางครั้งชีวิตของคนเราก็เลือกเส้นทางเดินของชีวิตเองไม่ได้ อ้อยหวานจำต้องตกอยู่ในสถานะเมียเก็บของชายสูงวัยเพียงเพื่อที่จะชดใช้หนี้สินให้มารดา จากเดิมที่จะกู้มาในจำนวนที่พอจะใช้คืนได้ เพื่อให้พี่ชายของอ้อยหวานได้เรียนในมหาวิทยาลัยเหมือนกับลูกบ้านอื่น แต่ทุกอย่างต้องพังราบและต้องบากหน้าไปกู้เพิ่มอีกจำนวนมหาศาล เมื่อพี่ชายดันไปทำผู้หญิงท้องและถูกเรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงินหลักแปดแสนบาท เมื่อไม่มีก็ต้องกู้ยืมจากพวกหนี้นอกระบบ อ้อยหวานซึ่งเรียนอยู่ในระดับมัธยมปลายในตอนนั้นไม่มีโอกาสได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่เธอสอบติด ยอมที่จะออกมาช่วยแม่ขายน้ำเต้าหู้ในแต่ละวัน
เจ้าหนี้แวะเวียนมาหาแทบทุกเดือนเพราะขาดส่ง แต่ว่าแค่ค่าเช่าบ้านก็แทบจะหาไม่ทัน ไหนจะใช้หนี้ที่มีเงินต้นมาพร้อมกับดอกเบี้ยมหาโหด พี่ชายของเธอจะรับรู้ถึงความเดือดร้อนนี้ไหม นอกจากจะทิ้งปัญหาทุกอย่างเอาไว้ แล้วเข้าไปอยู่ในบ้านของฝ่ายหญิงในจังหวัดทางภาคเหนือ
จนเศรษฐีชายสูงวัยคนหนึ่งได้เตะตาต้องใจอ้อยหวานเข้าให้ จึงได้เสนอตัวใช้หนี้ทั้งหมดให้แทน แต่อ้อยหวานต้องมาเป็นผู้หญิงของเขาเป็นการแลกเปลี่ยน เมื่อไม่อยากให้มารดาต้องลำบากจากการทวงหนี้เช้าเย็นของเจ้าหนี้ขาโหด อ้อยหวานจำต้องปาดน้ำตาออกจากหน้า แล้วตัดสินใจทำเรื่องที่โง่ที่สุดในชีวิตในตอนนั้น
เมียเก็บ เธอรับตำแหน่งนี้มาได้สี่ปีเต็ม เหลืออีกปีเดียวทุกอย่างก็จะจบลงตามสัญญา แต่แล้วเศรษฐีสูงวัยก็เป็นอันต้องลาโลกนี้ไปด้วยโรคร้ายเสียก่อน ทิ้งให้สองแม่ลูกลอยเคว้งคว้างอยู่ในบ้านพักริมชายหาดแห่งนี้
ทนายของนายอัครชัย สิทธิเวชกุล ผู้ซึ่งได้ล่วงลับไปแล้ว ได้เข้ามาพบสองแม่ลูกพร้อมกับแจ้งถึงรายละเอียดทั้งหมดที่ยังเป็นพันธะต่อกัน แม้นายอัครชัยจะลาโลกนี้ไปแล้ว แต่สัญญาของอ้อยหวานก็ยังไม่จบตามไปด้วย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้รับมรดกซึ่งก็คือบุตรชายทั้งสองของนายอัครชัย ว่าจะดำเนินการอย่างไรสำหรับเมียเก็บของผู้เป็นพ่อเช่นอ้อยหวาน
"อ้อยหวานจะไม่ได้เป็นอิสระเหรอคะคุณลุง"
"ยังหรอกหนู ต้องรอลูกๆ ของคุณอัครมาตัดสินว่าจะทำยังไงต่อไป"
"คุณอัครตายแล้ว เราก็น่าจะไปได้นะคุณนพ" นางนาตยาเริ่มมองเห็นลู่ทางที่ตนกับลูกสาวจะได้ออกจากบ้านหลังนี้ไปเสียที
"ต้องรอก่อนคุณนาต สักสองวันนี่แหละลูกๆ ของคุณอัครจะเดินทางมาที่นี่ พอถึงตอนนั้นก็ค่อยว่ากันอีกทีนะเพราะในสัญญามีข้อหนึ่งระบุไว้ว่าหากคุณอัครมีอันเป็นไป ก็ให้สัญญาขึ้นอยู่กับความเห็นของบุตรชายด้วย" ทนายอรรณพแจงรายละเอียดในสัญญาให้สองแม่ลูกได้รับรู้
"พวกเขาจะมาทำไมคะคุณลุง แล้วทำไมสัญญาต้องระบุเหมือนจะรู้ตัวว่าต้องตายด้วยล่ะ" คำถามของอ้อยหวานมาพร้อมกับแววตาวิตกกังวลอย่างชัดเจน
"บริษัทขยายสาขามาที่นี่ คิดว่าคงจะมาอยู่ที่นี่สักสองสามเดือน เข้าที่เข้าทางเมื่อไหร่คงจะกลับกรุงเทพฯ แต่ก็ไม่แน่นะเพราะเห็นมีโครงการจะย้ายสำนักงานใหญ่มาเหมือนกัน ส่วนเรื่องสัญญามันก็เป็นข้อกฎหมายที่เผื่อเอาไว้ แต่ไม่คิดว่าท่านจะไปเร็วแบบนี้" ชายสูงวัยตอบอย่างมีหลักการ
"ทำไมถึงเป็นบ้านหลังนี้ล่ะคะ"
"อ้าวก็บ้านพวกเขานี่หนูอ้อยหวาน อีกอย่างที่นี่ก็อากาศดี คุณวิมล์กับคุณภูคงอยากมาพักผ่อนด้วย"
"จะดีเหรอคุณนพ อ้อยหวานกับฉันจะเกะกะขวางหูขวางตาคุณๆ เธอหรือเปล่า" นางนาตยาเกิดเกรงใจลูกชายเจ้าของบ้านขึ้นมา เพราะปกติแล้วพวกเขาเหล่านั้นแทบไม่เคยแวะมาพักที่นี่เลย ตั้งแต่ที่ตนกับลูกสาวได้เข้ามาอยู่ที่นี่เมื่อสี่ปีก่อน
"ไม่หรอกคุณนาต คุณนาตเองก็ช่วยดูแลเรื่องอาหารการกินของพวกเขาด้วยก็แล้วกัน บ้านหลังนี้ไม่มีคนสวนคนรับใช้ก็ได้คุณนาตกับหนูอ้อยหวานคอยดูแลมาตลอดสี่ปีนี้ ยังไงก็ช่วยดูแลอีกสักปีก็แล้วกันนะ" ทนายอรรณพไหว้วานตามหลัง
"แบบนั้นก็ได้ค่ะ" นางนาตยายิ้มรับ อย่างน้อยนางกับลูกก็อยู่เรือนไม้หลังเล็ก ส่วนหลังใหญ่ก็ได้แค่ดูแลทำความสะอาดให้มาโดยตลอด นับว่าอยู่คนละพื้นที่กันไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
"ไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวกลับก่อนนะ แค่แวะมาแจ้งว่าคุณวิมล์กับคุณภูจะมาอยู่ที่นี่แค่นั้นแหละ"
"ขอบคุณคุณลุงมากนะคะที่แวะมาแจ้งอ้อยหวานกับแม่"
"จ้า ไปล่ะ"
ทนายอรรณพเดินออกจากบ้านไปแล้ว อ้อยหวานก็ทำหน้าม่อยรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาครามครัน นางนาตยาเห็นแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้
"มีอะไรอีกอ้อยหวาน ดูทำหน้าเข้าสิ"
"แม่ อ้อยหวานไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว"
"อ้าว ไหนบอกว่าที่นี่สวยอากาศดีน่าอยู่ ถ้าเกิดได้บ้านติดทะเลแบบนี้ดีใจมากยังไงล่ะ"
"นั่นมันเมื่อก่อนนี่คะ ตอนนี้อ้อยหวานไม่อยากอยู่แล้ว"
"อ้อยหวานแม่รู้นะว่าลูกคิดอะไรอยู่"
"อ้อยหวานเป็นเมียเก็บของพ่อพวกเขา เขาจะต้องเกลียดอ้อยหวานแน่ๆ เลยแม่"
"เรื่องนั้นมันก็ไปห้ามความคิดของพวกเขาไม่ได้หรอกนะลูก แค่ปีเดียวเองทนๆ อยู่หน่อยนะ อุตส่าห์อยู่มาได้ตั้งสี่ปี อยู่ต่ออีกสักปีเดียวจะเป็นไรไป" นางนาตยาลูบเส้นผมลูกสาวเบาๆ
"จะดีเหรอแม่" ยังมีแววหวาดหวั่นในดวงตาคู่สวยของอ้อยหวาน
"ดีสิ เชื่อแม่นะอ้อยหวาน"
"ก็ได้ค่า" อ้อยหวานลากเสียงยาวให้มารดา แม้จะลำบากและอึดอัดใจต่อการเผชิญหน้ากับพวกเขาทั้งสอง แต่ก็คงไม่มีทางไหนให้เธอเลี่ยงหนีไปได้อีก
"ถ้าพี่ชายอ้อยหวานมันเอาถ่านกว่านี้ก็ดีสินะ" เอ่ยถึงลูกชายที่ไม่คิดมาเยี่ยมเยียนตนเองเลยสักครั้งเดียวก็พลอยเศร้าใจ บางครั้งโทรศัพท์ไปหาก็เหมือนจะรำคาญไม่อยากคุยด้วย ท้ายที่สุดนางนาตยาก็เลิกคิดที่จะให้ลูกชายกลับมาเลี้ยงดูตนและลูกสาว
"อย่าไปพูดถึงพี่ช้างเลยแม่ พี่เขาคงอยู่ดีมีสุขคงลืมเราไปแล้วล่ะ"
"อ้อยหวานเลยต้องมารับกรรมแทนแบบนี้ แม่ขอโทษนะลูก" ยังเป็นความผิดของคนเป็นแม่เสมอ ที่ลูกสาวต้องยอมเป็นเมียเก็บของคนแก่เพราะต้องการช่วยเหลือทางบ้าน
"แม่อย่าคิดมากสิ เดี๋ยวอีกหน่อยเรื่องนี้ก็จะจบแล้ว อีกปีเดียวเองนะแม่" อ้อยหวานโผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของมารดา ตลอดสี่ปีที่อยู่ที่นี่หญิงสาวไม่เคยคิดว่ามันเป็นภาระแต่อย่างใด อย่างน้อยเธอก็ได้อยู่กับมารดาทุกวัน ดีกว่าต้องออกไปหางานทำที่กรุงเทพฯ แล้วกลับมาหาท่านเพียงปีละไม่กี่ครั้งเสียอีก
"เรามีกันแค่สองคนแล้วนะแม่ อ้อยหวานไม่ทิ้งแม่หรอก"
"จ้าแม่รู้ ถ้าพ่ออ้อยหวานไม่ด่วนตายไปก่อนมันก็คงได้ช่วยเราสองแม่ลูกนะ"
"อ้าว พูดไปแล้วเรายังมีงานทำบุญกระดูกให้พ่ออีกนี่"
"อีกสามวันค่อยไป แม่ไปคุยกับพระที่วัดไว้แล้ว"
"งั้นปิดบ้านใหญ่กลับไปนอนเรือนน้อยๆ ของเราดีกว่า" อ้อยหวานกระวีกระวาดปิดประตูหน้าต่างทุกบาน แล้วพามารดากลับไปยังเรือนหลังน้อยที่อยู่ด้านหลัง