เมียนิตินัย (50%)
เซซาเรขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเสียงพูดคุยหยอกล้อเคล้าเสียงหัวเราะคิกคักของสองสาวเงียบลง เหลือแต่เสียงโทรทัศน์ที่เปิดคลอเบาๆ เขาหยุดคุยกับคนที่อ้างว่าจะมาขอคำปรึกษาเรื่องธุรกิจเสียดื้อๆ ก่อนจะเบนสายคมกริบไปยังโถงเรือน แล้วก็ต้องหลุดยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าอ้อนรักกำลังนั่งหลับคอพับคออ่อน
“ผมขอตัวแป๊บนึงนะพริ้ง”
กล่าวจบเซซาเรก็ผุดลุกขึ้น แล้วก้าวจากไปโดยไม่สนใจว่าแม่ม่ายสาวจะทำหน้ายังไง ทันทีที่ไปถึงโซฟาชุดรับแขกเขาก็ก้มลงกระซิบปลุกเมีย ครั้นเห็นว่าแม่คนขี้เซาทำเสียงอืออาขับไล่คล้ายรำคาญก็หลุดขำออกมา ก่อนจะขยับไปอุ้มร่างอ้วนจ้ำม่ำของหลานสาวไปยังห้องนอนของตัวเอง ห่มผ้าให้เด็กอ้วนแล้วจุ๊บเหม่งหนึ่งที เซซาเรก็เดินออกมาหาอ้อนรักที่ยังคงนั่งสัปหงกอยู่ที่เดิม
“อ้อนรัก…”
“ฮื้อ…” ลมหายใจผ่าวระอุที่เป่าราดรดพวงแก้มเนียนใสทำให้คนหลับนึกรำคาญ ทำเสียงงึมงำคล้ายข่มขู่ในลำคอ ขณะผลักใบหน้าหล่อลากไส้ออกห่าง ทำเอาพ่อตัวโตอมยิ้มน้อยๆ
“ตื่นได้แล้วยัยเด็กขี้เซา”
“อือ…คนดีขา ป้าอ้อนของีบแป๊บนึงนะคะ” คนเพลียจัดเบี่ยงหน้าหนีจากการรุกรานของปลายจมูกคมสัน แล้วเอ่ยต่อรองอู้อี้ทั้งที่ยังไม่ลืมตา
“คนดีที่ไหน นี่ผัวต่างหากล่ะ”
“อ้อนรัก…”
“ฮื้อ…”
“สรุปจะไม่ตื่นใช่ไหม งั้นอุ้มนะ”
คราวนี้เซซาเรจงใจกระซิบชนิดปากแทบจะแนบไปกับกึ่งซีกแก้มกึ่งใบหูน้อย มองเผินๆ เหมือนเขากำลังหยอกเย้าเมียมากกว่าที่จะปลุกอย่างจริงจัง
ภาพตรงหน้าทำให้เพชรพริ้งแทบจะกรี๊ดลั่นด้วยความคับข้องใจ เพราะยัยหน้าจืดนั่นดันปลุกไม่ตื่น สุดท้ายเขาก็ต้องอุ้มร่างอ้อนแอ้นเดินไปยังห้องนอน
หลังจากวางแม่คนขี้เซาลงบนเตียงข้างๆ หลานตัวน้อย เซซาเรก็ยืนกอดอกมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนจะจับปอยผมที่ตกละใบหน้าเนียนใสทัดใบหูให้ แล้วก็ต้องหายใจสะดุดเมื่อคนที่ได้ชื่อว่าเมียขยับเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองนอนในท่าสบาย ส่งผลให้กลิ่นกายหอมยวนใจลอยมาปะทะจมูก กายหนุ่มร้อนรุ่มอย่างน่าโมโห
ทันใดนั้นคนโอหังที่มักจะประกาศปาวๆ ว่ารังเกียจและไม่ต้องการเมียตัวเองก็หลุดการควบคุม พ่อเจ้าประคุณเคลื่อนใบหน้าหล่อเหลาติดจะดิบเถื่อนลงไปหา…
อ้อนรักรู้สึกตัวในเวลาเกือบพลบค่ำ เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้เธอนอนเตลิด ครั้นลืมตาขึ้นมองเพดานก็ปรากฏว่านี่ไม่ใช่ห้องนอนของตน ควานมือไปข้างๆ ด้วยคิดว่าหลานสาวน่าจะนอนอยู่กลับว่างเปล่า เดาว่าหลังจากตื่นมาอีกฝ่ายคงจะออกไปอ้อนขอของกินจากผู้ใหญ่ที่อยู่ด้านนอก เพราะเด็กอ้วนมักจะตื่นมาพร้อมกับความหิวเป็นประจำ ครั้นเหลือบดูนาฬิกาเรือนงามที่แขวนอยู่ตรงผนังก็จวนจะถึงเวลาอาหารเย็น เธอจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องนอนของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี พอมาถึงห้องของตัวเองก็ตรงดิ่งเข้าไปชำระร่างกายในห้องน้ำ
อ้อนรักรีบอาบน้ำเพราะตั้งใจจะออกไปช่วยจัดโต๊ะอาหาร ทว่าในวินาทีที่นัยน์ตาหวานได้เห็นปากตัวเองในกระจกก็ถึงกับตะลึงงัน ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น
“เอ๊ะ!...ทำไมปากเราถึงได้บวมเจ่อขนาดนี้นะ หรือว่ามันไม่ใช่ความฝัน…”
เจ้าของเสียงหวานละมุนพึมพำกับตัวเองเบาๆ ด้วยความฉงน ขณะยกมือขึ้นลูบไล้กลีบปากบวมเจ่อแดงช้ำ ส่วนสมองน้อยๆ นั้นก็เริ่มคิดทบทวน
เธอจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนตัวเองถูกสามีจูบอย่างดูดดื่ม คราแรกนั้นคนเย็นชาหน้าตายจดๆ จ้องๆ ปากเธออยู่ ก่อนจะวูบหน้าลงมาหาคล้ายหมดสิ้นความอดทนผสมเก็บกด จากนั้นก็บดขยี้เรียวปากสีกุหลาบอย่างเร่าร้อนประหนึ่งอดอยากปากแห้งมาแรมปี ความร้อนแรงระคนตะกละตะกลามในแรกเริ่มเดิมทีค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นดูดดื่ม ละมุนละไม และอ่อนหวาน จนคนครึ่งหลับครึ่งตื่นอย่างเธอคล้อยตาม ยอมเผยอกลีบปากอวบอิ่มแยกแย้มให้ภมรหนุ่มได้เชยชิมความหวานซ่านทรวงจากภายในกระพุ้งแก้มอิ่มอุ่น กว่าพ่อหนุ่มจอมฉกฉวยจะยอมผละห่างก็เมื่อเธอนั้นดิ้นรนขัดขืน เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองถูกสูบลมหายใจออกไปจากร่างเสียสิ้น
ในความทรงจำอันเลือนลางนั้นเธอเหมือนได้ยินอีกฝ่ายพึมพำปลอบประโลมให้หลับ แล้วก้มลงจุมพิตเปลือกตาทั้งสองข้างอย่างอ่อนโยนเป็นการส่งท้าย
สรุปทั้งหมดทั้งมวลมันไม่ใช่ความฝันอย่างนั้นหรือ?
สาวหวานรำพันในอกด้วยความกระดากอายสุดฤทธิ์ ใบหน้าสวยหวานแดงแจ๋ แค่คิดว่าโดนอีกฝ่ายขโมยจูบอย่างดูดดื่มเธอก็จั๊กจี้หัวใจเสียแล้ว
จากนั้นอ้อนรักก็สะบัดศีรษะขับไล่ความฟุ้งซ่าน แล้วรีบอาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนด้วยท่าทางเร่งรีบ หากแต่เท้าเรียวกลับต้องชะงักเมื่อมองเห็นแต่ไกลว่าเพชรพริ้งยังไม่กลับ แม่ม่ายสาวคนสวยนั่งคุยกับสามีของเธออย่างออกรส ดูใกล้ชิดเกินงามทั้งที่มีผู้เป็นย่านั่งอยู่ที่โซฟาอีกฝั่ง
“เย้! คุงป้าอ้อนมาแล้ว!” หนูน้อยอัปสรสวรรค์ร้องลั่นด้วยความยินดี เมื่อดวงตากลมโตเหลือบไปเห็นคนเป็นป้าเดินมุ่งหน้ามายังโถงเรือนในจุดที่ตนกำลังอ้อนให้คุณย่าทวดป้อนขนมอยู่
“คนดีคราวหน้าห้ามพูดตอนมีอาหารในปากนะลูกเดี๋ยวสำลัก” นางสอางค์เอ่ยสอนแม่ตัวยุ่งเสียงนุ่ม เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงักอย่างว่าง่าย
“ค่า คุงย่าทวด”
“คนดีตื่นตั้งแต่ตอนไหนคะ ไม่เห็นปลุกป้าอ้อนบ้างเลย” อ้อนรักนั่งลงข้างๆ ร่างจ้ำม่ำ แล้วเอ่ยถามอย่างยิ้มๆ ด้วยเอ็นดูที่เห็นอีกฝ่ายอ้าปากรับลูกชุบที่คุณย่าทวดป้อนให้ไม่ขาดปาก
“ยุงจ๋าบอกม่ายให้ปลุกค่า คุงป้าอ้อนหลับ…กรนฟี้ๆ” วาจาที่หลุดออกมาจากปากเด็กอ้วนทำให้ผู้ใหญ่ต่างพากันทำหน้าเหวอกับความซุกซน ก่อนจะหัวเราะร่วนด้วยความเอ็นดู
“เหนื่อยมากเหรอลูก นอนจนถึงหัวค่ำเชียว” นางสอางค์หันไปถามหลานสาว หลังจากตักบัวลอยไข่หวานใส่ปากเด็กอ้วนช่างกิน
“ค่ะคุณย่า อ้อนหลับแบบไม่รู้เรื่องเลยค่ะ ไม่รู้ด้วยว่าไปนอนได้ยังไง” แม่สาวหวานผู้เรียบร้อยเอ่ยอย่างอายๆ พวงแก้มเนียนใสแดงระเรื่อชวนมอง
“คงมีใครแถวนี้เอาเราไปนอนล่ะมั้ง” คนแก่เปรยขึ้นอย่างลอยๆ พร้อมลอบมองปฏิกิริยาของพ่อตัวดีที่กำลังนั่งทำหน้านิ่งให้แม่ม่ายสาวเบียดกระแซะแทะโลม
“แล้วนั่นปากไปโดนอะไรมาลูก”
“เอ่อ…ไม่ทราบค่ะคุณย่า ตื่นมาก็บวมเจ่อแบบนี้เลยค่ะ สงสัยมดกัดมั้งคะ” หญิงสาวตอบแบบไม่เต็มเสียงมากนัก ดวงหน้าพริ้มเพราพลันแดงซ่านเมื่อกระหวัดคิดไปถึงสาเหตุที่อาจจะทำให้ตนปากเจ่อ