เมียนิตินัย (25%)
วันนี้อ้อนรักไม่ได้ออกไปตรวจงานในไร่ตั้งแต่เช้าตรู่เช่นเคย เนื่องจากว่าเมื่อคืนนี้ตอนเกือบเที่ยงคืนผู้เป็นย่ามาเคาะประตูห้องนอน แล้ววานให้เธอไปเช็ดตัวลดไข้ให้หนูน้อยอัปสรสวรรค์ซึ่งมีอาการไข้ขึ้นในเวลากลางดึก อ้อนรักทำหน้างงนิดๆ ที่หลานตัวน้อยไปนอนกับคนเป็นย่า ก่อนที่คนแก่จะเฉลยว่าตอนประมาณสามทุ่มท่านได้ให้สาวใช้ไปเอาเหลนมานอนด้วย เพราะนึกสงสารหลานเขยที่อยากจะเข้าหอกับหลานสาว
หลังจากเฝ้าเช็ดตัวให้คนไข้ตัวน้อยจนไข้ลดอ้อนรักก็นอนกอดร่างจ้ำม่ำแล้วผล็อยหลับไป มารู้สึกตัวอีกทีในตอนสายๆ เมื่อหนูน้อยอัปสรสวรรค์ขยับตัวยุกยิก ก่อนที่เธอจะใช้หลังมืออังหน้าผากของหลานสาว แล้วก็ต้องถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะอุณหภูมิในร่างกายของเด็กอ้วนลดลงจนเกือบจะเป็นปกติแล้ว หากแต่ยังไม่น่าไว้วางใจอยู่ดี ครั้นคิดได้ดังนั้นเธอจึงโทรศัพท์ไปหานายแพทย์ปรเมศ จิรกุล แล้ววานให้อีกฝ่ายมาตรวจอาการของหลานสาวที่ไร่ จากนั้นก็เช็ดตัวและใส่เสื้อผ้าให้คนที่พอตื่นมาก็อ้อนขอดูการ์ตูนพี่มินเนี่ยน
ครั้นจะพาหลานสาวตัวน้อยที่อยู่ในชุดน่ารักออกจากห้องเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น ก้มลงมองหน้าจอมือถือแล้วทำหน้างงๆ ที่คนโทรมาคือบุปผาสวรรค์ กดรับสายถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งรถไปสนามบินกับสามี ทั้งคู่มีแพลนไปฮันนีมูนที่เกาะมัลดีฟส์เป็นเวลาสิบวัน และที่โทรมาก็เพื่อจะฝากฝังลูกสาวตัวน้อย ซึ่งเธอก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะดูแลหลานให้เป็นอย่างดี ก่อนจะยื่นมือถือไปให้คนที่กำลังมองตาแป๋ว หนูน้อยคุยเจื้อยแจ้วกับแม่จ๋าและพ่อจ๋าอยู่พักใหญ่ ก่อนจะร้องเฮเพราะก่อนวางสายพ่อจ๋าบอกว่าฝากตุ๊กตาพี่มินเนี่ยนไว้กับคุณลุง
“ยุงจ๋า! ยุงจ๋าอยู่หนาย!” ทันทีที่ก้าวขาพ้นห้องนอนเด็กอ้วนก็ออกวิ่งพร้อมตะโกนหาผู้เป็นลุง ทำเอาอ้อนรักต้องรีบก้าวยาวๆ ตามหลังพร้อมเอ่ยห้ามปราม
“คนดีขา ไม่เอา ไม่วิ่งนะคะ เดี๋ยวหกล้มค่ะ”
เจ้าของร่างอ้วนน่าฟัดไม่สนคำห้ามปรามของผู้เป็นป้า ขาป้อมๆ วิ่งมายังชานเรือนเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยแว่วมา ก่อนจะเรียกผู้เป็นลุงเสียงดัง
“ยุงจ๋า!”
ร่างอ้วนจ้ำม่ำถลาเข้าไปแทรกระหว่างผู้เป็นลุงและเพชรพริ้ง จนแม่ม่ายสาวชักสีหน้าใส่ หากแต่หนูน้อยไม่สนใจที่จะมองหรือว่ากล่าวทักทาย เพราะจิตใจกำลังจดจ่ออยู่กับเรื่องตุ๊กตา
“ยุงจ๋าตุ๊กตาพี่มินเนี่ยนของคนดีอยู่หนายคะ”
“ถ้าคนดีอยากได้ต้องหอมแก้มลุงจ๋าก่อนค่ะ”
ยังไม่ทันจะขาดคำคนที่ตื่นเต้นอยากเห็นตุ๊กตาก็โผเข้าหาคุณลุงตัวโต แล้วหอมแก้มซ้ายขวา ตบท้ายด้วยการจุ๊บปากของอีกฝ่ายอย่างประจบเอาใจ
“หนายคะพี่มินเนี่ยนของคนดี” แม่หนูน้อยเอ่ยทวงถามยังไม่ทันจะขาดคำก็ร้องกรี๊ดกร๊าดด้วยความยินดี เมื่อผู้เป็นลุงดึงผ้าคลุมออกจากเจ้ามินเนี่ยนตัวยักษ์ที่วางอยู่ข้างๆ
จากนั้นเด็กอ้วนก็ทั้งกอดทั้งหอมตุ๊กตาสุดโปรด บ้างมีเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากหลุดออกมาจากปากจิ้มลิ้ม เรียกรอยยิ้มละมุนจากผู้เป็นลุงได้เป็นอย่างดี ส่วนอ้อนรักนั้นยืนมองอยู่ห่างๆ ด้วยความเอ็นดู
ไม่นานรถสปอร์ตสีดำทะมึนก็แล่นมาจอดตรงหน้าเรือนไทยหลังใหญ่ ครั้นเห็นว่าเจ้าของร่างสูงสง่าที่ก้าวลงจากรถเป็นคนที่ตนรออยู่อ้อนรักก็หันไปเรียกหลานตัวน้อยเสียงหวาน
“คนดีขา ลุงหมอมาแล้ว ไปสวัสดีลุงหมอกันค่ะ”
ขาดคำเจ้าของร่างจ้ำม่ำก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างว่าง่าย ไม่มีทีท่าว่าจะงอแงเพราะตอนแต่งตัวอ้อนรักได้อธิบายให้หลานฟังแล้วว่าลุงหมอจะมาตรวจวัดไข้ อีกทั้งเด็กน้อยคุ้นหน้าคุ้นตากับหมอหนุ่มอยู่พอสมควร เพราะตอนที่อัปสรสวรรค์ป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลปรเมศมักจะแวะมาเยี่ยมคนไข้ตัวน้อยอยู่บ่อยครั้ง
“สวัสดีค่ะพี่เมศ” อ้อนรักยกมือไหว้พร้อมกล่าวทักทายคุณหมอหนุ่มเสียงหวาน
“หวัดดีครับ เอ๊ะ…นั่นใครเอ่ยหลบอยู่หลังป้าอ้อน ใช่คนไข้ตัวน้อยของลุงหมอหรือเปล่านะ” ปรเมศกล่าวทักทายอ้อนรัก ก่อนจะทำทีมองหาเจ้าของร่างน่าฟัดที่หลบอยู่หลังคนเป็นป้าพร้อมเอ่ยเย้าอย่างยิ้มๆ ไม่นานแม่หนูน้อยก็ค่อยๆ เอียงหน้าออกมา ครั้นปรเมศเหลือบเห็นก็เอ่ยเป็นเชิงหยอกเอิน
“จ๊ะเอ๋!”
การทักทายของผู้มาใหม่ทำให้เด็กน้อยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความชอบใจ ก่อนจะขยับตัวออกมาจากหลังคนเป็นป้า แล้วยกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยท่าทีเอียงอาย
“ซาหวัดดีค่ายุงหมอ”
“สวัสดีค่ะลูกหมูน้อย ไหนมาให้ลุงตรวจหน่อยเร็วคนเก่งตัวร้อนไหมเอ่ย”
ปรเมศเอ่ยทักทายเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนพร้อมคลี่ยิ้มอบอุ่น ถึงเขาจะไม่ใช่หมอเด็กแต่ก็สามารถตรวจอาการเบื้องต้น และรับมือกับเด็กตัวเล็กๆ ได้ไม่ยาก จากนั้นคุณหมอสุดหล่อใจดีก็ทรุดกายลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าร่างอ้วนจ้ำม่ำ แล้วยกหลังมือขึ้นอังหน้าผากนูนเกลี้ยง
“ตัวม่ายร้อนค่า” เด็กหญิงอัปสรสวรรค์เอ่ยปฏิเสธพร้อมส่ายหน้าหวือ ทำเอาคนถามอมยิ้มด้วยความเอ็นดู
จากนั้นอ้อนรักก็เชื้อเชิญให้คุณหมอหนุ่มไปนั่งที่โซฟาชุดรับแขกตรงโถงเรือน โดยเธอจูงมือหลานสาวตัวน้อยเดินนำหน้าในฐานะเจ้าบ้าน ทันทีที่ก้นแตะโซฟาร่างอ้วนกลมก็ปีนขึ้นไปนั่งบนตักเธอ ปรเมศเห็นว่าคนไข้ตัวน้อยพร้อมตรวจจึงทรุดกายลงนั่งข้างร่างอ้อนแอ้นซึ่งมีหลานสาวนั่งอยู่บนตัก
ภาพความใกล้ชิดสนิทสนมเกินควรทำให้คนที่นั่งจิบกาแฟและพูดคุยกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนมีสีหน้าบึ้งตึง ก่อนจะเอ่ยขอตัวกับอีกฝ่ายอย่างสุภาพ แล้วเดินลิ่วไปยังโซฟาชุดรับแขกทันควัน
“ให้คนดีนั่งเองดีกว่าไหมจะได้ตรวจสะดวก”
เสียงกระด้างที่เอ่ยขึ้นทำให้คุณหมอหนุ่มซึ่งกำลังจะตรวจชีพจรของคนไข้ตัวน้อยๆ ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนที่จะเงยขึ้นมองเจ้าของใบหน้าเรียบสนิทที่ยืนจังก้าค้ำหัวอยู่
“ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว” ปรเมศไหวไหล่ แล้วเอ่ยอย่างสบายๆ ก่อนจะลอบกระตุกยิ้มตรงมุมปาก ท่าทางมองเขาตาขวางหน้าตึงแบบนี้ไม่บอกก็รู้ว่ากำลังหวงก้าง
“เอาหลานวางลงตรงโซฟาสิ”
ครั้นออกคำสั่งไปแล้วอีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉยพ่อคนเจ้าอารมณ์ก็ชักหงุดหงิด
“อ้อนรัก! ฉันบอกให้เอาหลานวางลงตรงโซฟาไม่ได้ยินหรือไง”
คราวนี้เสียงของเซซาเรแข็งขึ้น ทำให้คนที่เผลอเตลิดเพราะลมหายใจร้อนๆ ที่เป่าราดรดต้นคอจากทางด้านหลังสะดุ้งเฮือก หลุดออกจากภวังค์
“คนดีนั่งเองนะคะ เดี๋ยวป้าอ้อนนั่งข้างๆ”
“ม่ายเอา คนดีจะนั่งตักคุงป้าอ้อน คนดีกลัวเข็ม” หนูน้อยส่ายหน้ารัวๆ ขณะเกาะอีกฝ่ายเป็นลูกลิง
“ลุงหมอไม่ฉีดยาหรอกครับลูกหมูน้อย วันนี้ลุงหมอลืมเอาเข็มมา” ปรเมศเอ่ยหลอกล่อเสียงนุ่มละมุน ทว่าแม่หนูน้อยกลับกอดคนเป็นป้าไม่ยอมปล่อย
“งั้นคนดีมานั่งตักลุงจ๋าดีกว่านะคะ ป้าอ้อนจะได้ไปเตรียมอาหารเช้าให้คนดี” เซซาเรตัดปัญหาหงุดหงิดใจด้วยการเสนอตัวเป็นคนให้หลานสาวนั่งตัก
จากนั้นเจ้าของร่างทรงพลังก็เดินอ้อมมายืนตรงหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเมีย แล้วอ้อนรักก็ต้องหลับตาปี๋เมื่ออีกฝ่ายเคลื่อนใบหน้าหล่อลากไส้ลงมาหา ปัดจมูกคมสันเฉียดปลายจมูกรั้นคล้ายไม่ได้ตั้งใจ แล้วเลยไปหอมแก้มนุ่มๆ กรุ่นกลิ่นแป้งเด็กของหลานสาวฟอดใหญ่ ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูบอบบาง
“ส่งหลานมาสิ”
ความใกล้ชิดแบบไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้อ้อนรักทำอะไรไม่ถูก หัวใจดวงน้อยเต้นโครมคราม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้เป็นสามีเอ่ยอะไรออกมาบ้าง มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คนหน้าไม่อายช้อนฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าใต้รักแร้ของเธอ แล้วยกร่างเพรียวระหงให้ยืนขึ้น ก่อนจะอ้าแขนรับหลานสาวที่โผเข้าหา
“อ้าว…มัวยืนบื้ออยู่ทำไมล่ะ ไปเตรียมข้าวเช้าให้คนดีสิ กินข้าวแล้วจะได้กินยา หรือว่าอยากนั่งตักผัวเหมือนหลาน” วาจาเรียบๆ ในตอนท้ายทำให้แก้มเนียนใสขึ้นสีระเรื่อ
“คนบ้า! ฉันเปล่าเสียหน่อย” แม่คนขี้อายค้อนน้อยๆ
ก่อนจะหันไปเอ่ยขอตัวกับคุณหมอหนุ่ม โดยไม่ลืมที่จะชักชวนให้อีกฝ่ายมาทานข้าวเย็นด้วย เพื่อเป็นการตอบแทนที่เขาอุตส่าห์สละเวลามาตรวจอาการของหลานสาวถึงไร่ คราแรกนั้นปรเมศตั้งใจจะเอ่ยปฏิเสธ ทว่าพอเห็นสายตาดุกร้าวของเซซาเรเขากลับเลิกคิ้วท้าทาย แล้วตอบตกลงอย่างหน้าตาเฉย
ครั้นอ้อนรักเตรียมอาหารเช้าให้หลานเสร็จปรเมศก็กลับไปเสียแล้ว เธอป้อนข้าวให้เด็กอ้วนช่างกินขณะเงี่ยหูฟังบทสนทนาของสามีกับเพชรพริ้งที่นั่งอยู่ตรงชานเรือน เสียงหัวร่อต่อกระซิกทำให้สาวหวานปวดแปลบในอกอย่างมิอาจห้ามได้ ทว่ากลับต้องข่มใจและเตือนสติตัวเองว่าเธอไม่มีสิทธิ์ไปหึงหวงใดๆ ทั้งสิ้น
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จอ้อนรักก็เปิดการ์ตูนให้หลานดู ไม่นานแม่หนูน้อยก็เริ่มเบื่อและรบเร้าขอไปขี่ม้า แต่เธอต้องทำใจแข็งเพราะแดดค่อนข้างแรง เกรงว่าอีกฝ่ายจะไข้ขึ้น ก่อนจะหาสมุดภาพระบายสีมาให้เด็กอ้วนได้ฝึกสมาธิไปในตัว จากนั้นสองป้าหลานก็ช่วยกันระบายสีภาพในสมุดที่มีรูปตัวการ์ตูนเจ้ามินเนี่ยนทำท่ากวนๆ เสียงหัวเราะของสองสาวต่างวัยดังแว่วออกมาเป็นระยะ ทำให้คนที่นั่งคุยกับแขกสาวคลี่ยิ้มบางๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเผลอเบนสายตาไปยังเมียและหลานที่นั่งห่างออกไป มองเพลินจนลืมแม่ม่ายสาวพราวเสน่ห์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ไปเสียสนิท และนั่นก็ทำให้เพชรพริ้งถึงกับหงุดหงิด หากแต่จำต้องกัดฟันระงับอารมณ์เอาไว้
“เซตคะ” น้ำเสียงหวานหยดเอ่ยเป็นเชิงเรียกร้องความสนใจ
“เอ่อ…คุณว่าไงนะพริ้ง โทษทีผมเป็นห่วงหลาน เพราะเมื่อคืนแกไม่สบาย ก็เลยมองนานไปหน่อย” เซซาเรหลุดออกจากภวังค์ ก่อนจะหันมาเอ่ยกับอีกฝ่ายอย่างสุภาพ
คำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นของอภิมหาเศรษฐีหนุ่มที่หล่อนหมายปองทำให้แม่ม่ายสาวผู้ไม่เคยโดนชายใดปฏิเสธลอบกำหมัดแน่น เมื่อกี้ดูก็รู้ว่าเขามองเมียตัวเอง ไหนว่าไม่รักไม่ต้องการแม่นั่นไง แล้วทำไมต้องทำท่าหึงหวง และแอบมองประหนึ่งไม่อยากให้คลาดสายตาแบบนั้นด้วย
ครั้นเล่นจนเหนื่อยอัปสรสวรรค์ก็ร้องหานม และอ้อนให้คนเป็นป้าเล่านิทานให้ฟัง ฟังนิทานพร้อมกับดูดนมจากขวดลายเจ้าการ์ตูนตัวเหลืองจอมป่วนได้ไม่นานเด็กอ้วนช่างจ้อก็ผล็อยหลับไป ส่วนคนที่อุทิศตักให้หลานนอนหนุนก็หาวหวอดๆ เพราะเพลียจากการเฝ้าไข้อีกฝ่ายเมื่อคืน ไม่นานก็เผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว