บทที่ ๓ โอกาสฟ้าประทาน (๓๐)
บทที่ ๓
โอกาสฟ้าประทาน
อัยย์ญาดาแทบจะกรีดร้องเมื่อมองหน้าตนเองที่กระจก ผมเผ้ายุ่งเหยิง แถมลิปสติกที่ทามาก็แทบไม่ออกสี มีแค่มันวาวเหมือนนอนน้ำลายยืดอีกต่างหาก หมดกันภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว เขาเห็นทุกอย่างเลย
เธอจึงรีบแต่งหน้าโดยด่วนแม้จะมีคนเดินผ่านและหันมามองด้วยความสนใจก็ตาม คงคุ้นหน้าบ้างถึงตนไม่ใช่ดาราดังแต่ก็มีละครสร้างชื่อเสียงอยู่บ้าง ทว่าเหมือนหลายคนไม่มั่นใจว่าเป็นหล่อน
แน่ล่ะ ดาราที่ไหนจะมายืนแต่งหน้าที่หน้าห้องน้ำกันล่ะ ใช้เวลาสักพักจากใบหน้าที่ค่อนข้างโทรมก็เปลี่ยนเป็นสดใสเหมือนสาววัยแรกแย้ม ผมยุ่งเหยิงถูกเปียให้เป็นระเบียบจัดแต่งทรงเล็กน้อยให้เหมือนไม่ตั้งใจ
สำรวจตนเองอีกครั้งแล้วฉีดน้ำหอม ดีที่ยังเลือกชุดน่ารักเหมาะสมวัย หมุนซ้ายขวาอีกครั้งแล้วฉีกยิ้มกว้าง ไม่ลืมสำรวจกลิ่นปากแล้วหยิบหมากฝรั่งออกมาเคี้ยวเพิ่มความมั่นใจ รู้อย่างนี้น่าจะพกสเปรย์ระงับกลิ่นปากมาด้วย แต่ไม่เป็นไรหรอก ที่มีอยู่ก็พอแก้ขัดได้
ว่าแต่...ทำไมเธอต้องพิถีพิถันขนาดนี้ด้วย เขาไม่ได้สนใจหล่อนสักหน่อย
“อุ่น ไม่กินข้าวเหรอ” จุดพักรถเป็นสถานที่สำหรับรับประทานอาหารเช้า ผู้ร่วมเดินทางหลายคนจึงเข้าไปกินข้าวในร้านตามสั่งจนแทบไม่มีที่ว่าง
พอจะเดินผ่านก็ได้ยินเสียงมารดาเรียก เธอไม่ค่อยอยากเข้าไปเบียดเสียดกับผู้คนเท่าไหร่ ทว่าหางตาเหลือบไปเห็นกล้าตะวันพอดี จึงได้เปลี่ยนทิศทาง
“มีอะไรกินบ้างอ่ะ” โต๊ะสำหรับนั่งสี่คนเหลือที่ว่างอีกสอง หญิงสาวเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งลงตรงข้ามแม่ของตน
“เยอะเลย นี่บัตรเงินสดแม่แลกไว้แล้วเหลืออยู่สองร้อย จะกินอะไรก็สั่ง” กวาดสายตามองโดยรอบไม่รู้จะกินอะไรดี อีกอย่างก็ยังไม่หิวด้วยสิ จึงคิดจะปฏิเสธแล้วคืนบัตรให้ท่าน
แต่ก็ต้องเงียบเสียงลงเพราะกำนันอาธรเดินมากับกล้าตะวัน หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อชายหนุ่มเลือกนั่งลงยังที่ว่างข้างหล่อน เผลอเม้มปากแน่นกลั้นยิ้มเอาไว้ จิกเท้าแล้วพยายามไม่ดีดดิ้นแสดงอาการดีใจออกนอกหน้า
เจ็บแล้วก็ต้องจำ จะไปหลงรักเขาอีกครั้งไม่ได้ แต่ขอสวยไว้ก่อนแล้วกันเผื่อชายหนุ่มจะได้เสียดายที่ปฏิเสธหล่อน
“อ้าว ทำไมไม่ไปหาอะไรกิน” พ่อหันมามองลูกคนเล็ก ร่างบางก็สะดุ้งเล็กน้อยแล้วมองท่าน
“กำลังจะไป” รีบลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปซื้อของกิน เธอเลือกข้าวแกงสามเมนูในจานเดียวเพื่อความรวดเร็ว ไม่รู้ว่าจะอร่อยหรือเปล่าเพียงแค่อยากกลับไปนั่งโต๊ะให้เร็วที่สุด
วันนั้นที่เผลอพูดจาไม่ดีใส่กล้าตะวันไปก็กลับมาด่าตัวเองไปหลายรอบ มันพลั้งปากเพราะรู้สึกหมั่นไส้เวลาเขาคุยกับพี่สาวหล่อนนี่นา
“ช่วงนี้ไม่ยุ่งครับ ยังไงที่ไร่ก็มีคนช่วยดูแลอยู่แล้ว อีกอย่างผมจะได้เที่ยวด้วยถือเป็นการพักผ่อนไปในตัว” มาถึงโต๊ะก็ได้ยินพ่อชวนเจ้าของฟาร์มตะวันฉายคุย เธอก็นั่งเงียบเหมือนเก็บข้อมูลไปในตัว
จากที่คิดว่าทริปนี้คงน่าเบื่อเพราะมีแต่คนแก่และเด็ก ก็เริ่มไม่เป็นอย่างนั้นแล้วเมื่อมีกล้าตะวันมาด้วย หรือจะเป็นการเที่ยวที่แสนสุข ทุกอย่างเต็มไปด้วยสีชมพู อมยิ้มเล็กน้อยขณะตักข้าวเข้าปาก พยายามไม่แสดงอาการอะไรให้เป็นที่สังเกต
ทำตัวปกติ ท่องไว้ไออุ่น..
“ปกติเราไม่ไปเที่ยวเหรอ” สองหนุ่มคุยกัน ท่านค่อนข้างชอบพอนิสัยของกล้าตะวัน และบอกตามตรงว่าอยากได้มาเป็นลูกเขย
ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเข้ากันได้ดีกับลักษ์นารา เหมาะสมราวกิ่งทองใบหยก ไม่มีข่าวเสียให้หนักใจเหมือนนายตำรวจหลายคนที่พยายามเข้าหาบุตรคนกลางของตน
“ไม่ค่อยได้ไปไหนเลยครับ งานยุ่งตลอด ต้องขอบคุณลุงธรที่ให้ผมมาช่วยจัดทริปครั้งนี้” เสียงทุ้มที่ได้ยินข้างหูทำเอาเผลอนึกถึงช่วงเรียนมัธยมที่ร่างสูงได้ขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์ หรือรับรางวัลแล้วขอบคุณ
ทำให้เธอยิ้มทุกครั้งที่ฟังถึงจะไม่ใช่คนที่ไปคว้าเหรียญรางวัลหรือสร้างชื่อให้โรงเรียนก็ตาม
“เราน่ะนั่งข้างพี่เขาก็อย่ารังแกพี่เขาล่ะ” ไม่วายหันมากำชับอัยย์ญาดา เล่นเอาคนที่กำลังนึกถึงเรื่องในอดีตต้องรีบแก้ตัวเพราะกลัวคนข้างกายเข้าใจผิด
มีอย่างที่ไหนมาว่าหล่อนจะทำตัวอันธพาลกัน ไม่เคยเป็นแบบนั้นสักหน่อย พูดดีทำดีคิดดีมาโดยตลอด อยู่ในกรอบศีลและประเพณีอันดีงาม
“อะไรพ่อ อย่ามั่วนะหนูไม่เคยรังแกใครสักหน่อย” เถียงกลับทันควัน ไม่ยอมให้ท่านใส่ร้ายฝ่ายเดียวหรอก
“น้อยไปน่ะสิ ลุงฝากดูแลน้องด้วยนะ ยิ่งขี้หลงขี้ลืมอยู่ด้วย” ประโยคที่บอกว่าฝากทำให้ใบหน้าหวานแอบยิ้มกริ่ม เหมือนพ่อส่งตัวลูกเข้าหอเลย มันจะมีวันนั้นไหมนะที่หล่อนจะได้แต่งงานกับกล้าตะวัน
แค่คิดก็หุบยิ้มไม่ได้แล้ว แต่ต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนคนโมโหที่ถูกปรามาส
“พ่อ ชอบขายลูกอยู่เรื่อย” พูดเสียงเบาแล้วกินข้าว ไม่กล้าแม้แต่จะหันมองคนที่นั่งอยู่ข้างกัน
อันที่จริงอยากเข้าไปกอดและขอบคุณบุพการีทั้งสองเหลือเกินที่พาเธอมาเที่ยวครั้งนี้ มอบโอกาสทองให้ขนาดนี้แล้ว สงสัยต้องไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มหลุดมือ
ทว่าสิ่งที่สงสัยยังไม่กระจ่าง ตกลงเขาเป็นอะไรกับพี่สาวของเธอกันแน่
เพื่อนหรือแฟน..
“จริงนี่นา ตอนเด็กไปเที่ยวสวนสัตว์ก็เดินหลงร้องไห้ขี้มูกโป่ง โตมาหน่อยก็เดินหลงในห้าง ขนาดไปโรงเรียนยังชอบลืมกระเป๋าเลย” เรื่องลืมกระเป๋าไม่เป็นความจริงสักหน่อย เธอก็แค่ไม่อยากไปโรงเรียนเลยทิ้งกระเป๋าไว้ที่บ้าน
คิดว่าจะได้มีข้ออ้างไม่ต้องเรียนหนังสือ ทว่าบิดาขับรถเอามาส่งถึงโรงเรียน แผนล่มไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่เถียงเพราะตนเป็นคนจำทิศทางไม่ค่อยได้ ต้องมีเพื่อนไปด้วยหรือมีคนนำทางตลอด ขนาดห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ ยังเดินหลงตั้งหลายรอบ ตามหารถยนต์ที่จอดไว้ชั้นสามแต่ดันมาหาที่ชั้นสี่ กว่าจะจำได้ก็ปาไปชั่วโมงครึ่ง