บทที่ ๒ เกินความฝัน (๑๐๐)
“ครับ” ไม่รู้ว่าชายหนุ่มจำเธอได้หรือเปล่า แต่คงลืมแล้วล่ะไม่เจอกันตั้งสิบปีใครจะจำผู้หญิงที่บอกรักได้บ้าง คงมีคนเข้าหาเขาเป็นพรวน
ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจจนต้องตักข้าวเข้าปากเพื่อระบายอารมณ์โกรธ
“จะสายแล้ว ถ้างั้นหนูขอตัวนะคะ” ลักษ์นาราสะพายกระเป๋าแล้วยกมือไหว้บุพการีค่อยออกจากบ้าน สองคนเดินเคียงกันมีแต่สายตาชื่นชม
ร่างบางที่มองตามก็คิดเช่นเดียวกัน คนหนึ่งสูงหล่ออีกคนก็สวยหวาน แถมยังเรียนเก่งทั้งคู่ ถ้าแต่งงานมีลูกคงเป็นประชากรที่มีคุณภาพของประเทศ
“ถ้าได้กล้ามาเป็นลูกเขยก็ดีสิพ่อ” หันมาพูดกับสามีของตน นางเองชอบกล้าตะวันที่สู้ชีวิตตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ สร้างฟาร์มโคนมกับบิดาจนมีทุกวันนี้ เอาการเอางานทั้งขยันขันแข็ง สุภาพเรียบร้อย ไม่มีข่าวเสียเรื่องผู้หญิง ถึงจะมีหญิงเข้าหาเยอะแต่ชายหนุ่มก็ปฏิเสธชัดเจนทุกครั้ง
นิสัยดีแบบนี้ใครบ้างจะไม่อยากได้เป็นลูกเขย ไม่เหมือนพวกตำรวจหรือปลัดที่มาจีบลูกสาวตน ไม่มีเมียอยู่แล้วก็วางท่ากร่าง ต้องส่ายหัวทุกครั้งที่เห็น
“นั่นสิ ตอนไหนจะแต่งงานกันก็ไม่รู้ พ่อล่ะลุ้นทุกวัน” เห็นด้วยไม่มีขัด เพราะเขาเองก็อยากได้ลูกเขยอย่างนี้
ร่างบางได้ฟังก็เริ่มไม่อยากอาหาร แค่คิดว่าต้องเจอหน้ากล้าตะวันเช้าเย็นในฐานะพี่เขยก็ห่อเหี่ยวแล้ว ผู้หญิงมีเป็นร้อยเป็นพันทำไมต้องเป็นพี่สาวหล่อนด้วย
“ลูกบอกว่าเพื่อนไม่ใช่เหรอ” คนอายุน้อยสุดในวงสนทนาถึงกับหยุดนิ่งเพื่อฟัง เก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด
“เพื่อนอะไรมารับมาส่งตลอด เขาแค่ยังไม่กล้าบอกเรา” กำนันอาธรอธิบายเพื่อให้ตนเองสบายใจ แต่พอจะตักผัดผักบุ้งมากินกับข้าวต้มก็ถูกลูกสาวแย่งไปหน้าตาเฉย พอมองหน้าก็ทำตาดุใส่อีก
“พ่อพูดอะไรผิด” ถามอัยย์ญาดาเพราะไม่รู้ว่าพูดอะไรไม่เข้าหูลูกสาวสุดที่รักหรือเปล่า แต่หล่อนก็ทำหน้าบึ้งวางช้อนลงในถ้วย
“หนูอิ่มแล้ว” ดื่มน้ำเปล่าแล้วลุกจากแคร่เพื่อเข้าบ้าน ปล่อยสองสามีภรรยามองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
ทำไมลูกสาวที่กินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยถึงเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็วเช่นนี้ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้คำตอบจึงเลือกไม่สนใจแล้วกินข้าวเช้ากันสองคน ปล่อยให้คนตัวเล็กขึ้นมาบนบ้านแล้วตีอกชกหัวตนเองที่ไม่ยอมตัดใจจากผู้ชายคนนั้นสักที
เขามีอะไรดีนักหนา หน้าตาก็ไม่ได้หล่อเท่าพระเอกที่เคยเล่นละครด้วยสักหน่อย เหตุใดจึงไม่ลืมแถมยังจำได้ชัดเจนอีกต่างหาก
สมองเธอต้องมีปัญหาแล้วแน่ๆ
ทั้งวันอัยย์ญาดาต้องประจำอยู่ที่ร้านค้า แล้วเวลาเจอลูกค้าก็มีบางคนที่จำได้แล้วขอถ่ายรูปเธอ หญิงสาวดีใจมากที่มีชื่อเสียงโด่งดังพอให้คนรู้จัก ถึงส่วนมากจะแสดงเป็นนางรองก็ตาม
นั่งหาวไปหลายรอบ เดินกวาดและจัดชั้นวางของ ก่อนจะมานั่งดูซีรีส์ต่างประเทศเพื่อไม่ให้เบื่อ จนกระทั่งถึงช่วงค่ำที่คนเยอะกว่ากลางวัน เก็บเงินแทบไม่ทันจนคนเริ่มซาเลยได้หายใจหายคอ
“เท่าไหร่ครับ” หญิงสาวมองเบียร์สามขวดและขนมอีกสี่ถุงก็ทำการคิดเงินทันที โดยไม่ได้เงยขึ้นมองว่าลูกค้าเป็นใคร
“226 บาท” ตอบเสียงห้วน แล้วรับเงินแบงค์ร้อยมาสามใบ
“กล้าจะเอาไปดื่มกับทีมเหรอ” เสียงนั่นเป็นของพี่สาวอย่างลักษ์นารา แต่ชื่อของบุคคลที่สามทำให้ลมหายใจของหล่อนติดขัดไปชั่วขณะ ค่อยเงยขึ้นมองเขาแล้วพบว่าเป็นเจ้าของฟาร์มโคนมจริงๆ
มายืนตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเธอไม่เห็นรู้ตัวเลย หรือว่าสนใจซีรีส์มากเกินไปจนไม่ได้ฟังเสียงเขา
“ใช่ ทีมกับปีฝากซื้อบอกว่าอยากดื่มแก้เครียด” คนฟังก็แอบอิจฉาที่พี่สาวดูเหมือนจะรู้จักคนรอบข้างของกล้าตะวันดีเหลือเกิน ต่างจากเธอที่ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง
“ถ้าอย่างนั้นเราให้ฟรีเลย ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก” เขาหยิบของที่อัยย์ญาดาใส่ลงถุงให้เรียบร้อยมาถือไว้ กำลังจะบอกปัดแต่ไม่ทันเพราะรุ่นน้องเอ่ยเสียก่อน
“ได้ไงพี่อิง ของซื้อของขายจะมาแจกฟรีเหมือนทำทานได้เหรอ” หมั่นไส้จนต้องขัด เธอไม่กล้ามองเขาตรงๆ เลยหันมามองพี่สาวแทน และทำให้ลักษ์นาราตาโตรีบปรามคนน้อง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าพูดออกมาเช่นนี้
“อุ่น” ส่งสายตาดุ แต่มีหรือที่ร่างบางจะกลัว กลับยื่นเงินทอนให้กล้าตะวันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เงินทอน” เขาเองก็รับมาเงียบๆ ไม่อยากต่อปากต่อคำกับคนอายุน้อยกว่า
“เข้าบ้านก่อนนะ หิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวอยู่แล้ว” รีบหยิบโทรศัพท์แล้วเดินออกจากร้านไปที่บ้านซึ่งอยู่ทางด้านหลัง ไม่มีแม้แต่คำบอกลาหรือคำขอโทษแก่หนุ่มรุ่นพี่
ทำให้ลักษ์นาราหน้าเสียที่น้องตนเองเสียมารยาทกับเพื่อนเช่นนี้ เขาอุตส่าห์มีน้ำใจมารับมาส่งตลอดจนรู้สึกเกรงใจ
“ขอโทษแทนอุ่นด้วยนะกล้า แกน่าจะอารมณ์ไม่ดีน่ะ ไม่ได้ตั้งใจหรอก” รอยยิ้มหยักประดับริมฝีปาก เขาส่ายหน้าไม่ได้ถือสาหาความกับเด็กคนนั้น
“เราไม่ถือหรอก ขอตัวก่อนนะ” เตรียมตัวจะกลับฟาร์ม ทว่าถูกรั้งเอาไว้ก่อน มือเล็กจับแขนเสื้อเขาไว้จนต้องหันมามอง หล่อนถึงได้ปล่อยมืออย่างเก้ๆ กังๆ
“เอ่อ เดี๋ยวก่อน” ดวงตากลมไม่กล้าสบตา แต่ก็ยื่นของไปตรงหน้าเขา
“ว่าไง” มองตามมือแล้วถาม ทั้งที่เห็นอยู่ว่าเป็นถุงสีเข้มแต่ไม่ทราบว่าข้างในคืออะไร ไม่นานหล่อนก็ไขให้กระจ่าง
“แม่เราฝากมะม่วงข้าวเหนียวมาให้ เย็นนี้ไม่อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนเหรอ” ประโยคหลังติดแววอ้อน แต่เขาส่ายศีรษะไม่ขอรับน้ำใจนั้น ทว่ายังคงรับของหวานที่คุณวิไลลักษณ์ฝากมาให้ ฝีมือของท่านอร่อยจนลืมไม่ลง และลักษ์นาราก็ได้เสน่ห์ปลายจวักมาเต็มๆ
“ไม่ดีกว่า ขอบคุณมากนะ” ยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ด้านหน้า ร่างบางตามไปส่งพลางโบกมือลาด้วยรอยยิ้มที่หวานเป็นพิเศษ
“ขับรถกลับดีๆ” มองจนรถจิ๊ปคันสีดำขับออกจากหน้าร้าน ตอนเช้าเขาไปส่งแต่ตอนเย็นเธอกลับเอง หรือบางวันที่ตอนเช้าไปเองแล้วตอนเย็นขอกลับพร้อมกล้าตะวัน
ทุกคนต่างคิดว่าเขาตั้งใจไปรับไปส่ง แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วไม่เป็นอย่างนั้น หล่อนก็แค่หาข้ออ้างเพื่อเข้าใกล้ชายที่ตนมีใจให้ พยายามอย่างยิ่งที่จะเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมห้อง หรือเพื่อนที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน
อยากเลื่อนสถานะแต่เขาก็ไม่มีท่าทีตอบสนอง และยังวางเธอเป็นเพียงเพื่อนเหมือนเดิม
กว่าจะงัดตัวลูกสาวออกจากเตียงแล้วมาขึ้นรถได้ก็เป็นครอบครัวสุดท้าย อัยย์ญาดาแทบลืมตาไม่ขึ้นเพราะต้องออกเดินทางตั้งแต่ตีสี่ โดยทริปครั้งนี้จุดหมายคือหัวหินซึ่งหล่อนไม่อยากไปเลยสักนิด แต่ขัดพ่อแม่ได้ซะเมื่อไหร่
จำต้องเดินตามโดยมีหมอนรองคอลายการ์ตูนคล้องคอเอาไว้ ผมก็มัดลวกๆ ส่วนใบหน้าทาเพียงแค่ทารองพื้นและลิปสติกให้พอมีสีสัน ไม่ใช่เหมือนศพเดินได้
หล่อนคิดว่าขึ้นบนรถก็คงนอนหลับต่อ และเมื่อขึ้นไปนั่งประจำที่ของตนซึ่งติดหน้าต่างก็ทำการปิดประสาทรับรู้ หลับทันทีโดยมีผ้าคลุมห่มคลายหนาว
“อือ” ผ่านไปนานพอสมควรก็รู้สึกว่าแอร์จะตกใส่หัว จึงพยายามขยับออกห่าง สักพักค่อยรู้สึกว่าอุ่นขึ้นทำให้ได้นอนหลับต่ออย่างสบายอารมณ์
ท้องฟ้าที่เคยมืดครึ้มตอนนี้เริ่มสว่าง แสงแดดแรกของวันทำให้คนบนรถถ่ายรูปเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าหล่อนยังคงหลับอุตุไม่ยอมตื่น และคิดไว้แล้วว่าจะนอนแบบนี้จนกว่าจะถึงที่หมาย
รถจอดยังจุดพักเพื่อให้ลงไปทำธุระหรือกินข้าวเช้า ผู้คนต่างทยอยลงไปข้างล่างกันจนเกือบหมด ร่างบางจึงรู้สึกตัวแล้วบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยล้า การนอนบนรถที่คับแคบไม่สบายเท่าไหร่
อยากกลับบ้านแล้ว
“จะลงไหม” เสียงทุ่มที่อยู่ใกล้ทำให้อัยย์ญาดารีบหันไปมอง ก่อนดวงตากลมจะเบิกกว้าง ตกใจยิ่งกว่าเห็นผีซะอีก
ทำไม ทำไมเขามาอยู่ที่นี่
กล้าตะวันที่อยู่ไกลเกินเอื้อม ตลอดการเรียนชั้นมัธยมศึกษาไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะได้อยู่ใกล้เขามากขนาดนี้ แล้วทำไมตอนนี้ชายหนุ่มจึงได้มานั่งข้างกัน
นั่งนานหรือยังก็ไม่รู้ หล่อนเผลอทำอะไรทุเรศให้อีกฝ่ายเห็นหรือเปล่า นอนกรนหรือน้ำลายไหลไหมจนต้องรีบจับปากตัวเอง
“สรุปจะลงไหม” เห็นว่าเธอมองค้างก็ถามย้ำอีกรอบ คิดว่าสติของร่างบางคงยังไม่เต็มร้อย
“ลงๆๆๆ” รีบตอบอย่างรวดเร็วก่อนจะหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางมากอดเอาไว้ ถึงจะทารองพื้นแต่มันก็บางเบาจนแทบไม่ปกปิดรอยสิวหรือรูขุมขน
จากนี้เธอต้องจัดเต็ม!