บทที่ ๒ เกินความฝัน (๓๐)
บทที่ ๒
เกินความฝัน
เป็นการรับประทานอาหารที่ปล่อยให้พลินพูดคนเดียว ส่วนอัยย์ญาดาก็ทำแค่ตักข้าวเข้าปากไม่กี่คำก็ไม่อยากเสียแล้ว ข่าวที่หล่อนได้ทราบทำเอาใจห่อเหี่ยวอย่างไม่ทราบสาเหตุ
หรือที่จริงก็รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรแต่แค่ไม่อยากยอมรับ เธอปฏิเสธหัวใจตัวเองเรื่องที่ยังชอบกล้าตะวัน ทั้งที่เวลาผ่านมาหลายปีแล้ว เธอเองก็เคยมีแฟนมีคนคุย ตอนอยู่เมืองหลวงไม่เคยคิดถึงชายหนุ่มสักครั้ง
แล้วทำไมพอกลับมาบ้านเพียงแค่วันแรก ได้เห็นใบหน้าแสนหล่อเหลาที่คุ้นเคย บรรยากาศเก่าๆ ก็กลับมา
นั่นคือการตกหลุมรักชายผู้เป็นดั่งรักแรกอีกครั้ง
“นอนบ้านฉันนะ โทรบอกแม่แกเลย ยังไงฉันก็อยู่บ้านคนเดียว” ล้างจานเรียบร้อยก็มานั่งอยู่ห้องรับแขก เปิดโทรทัศน์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต เลือกหนังเพื่อดูด้วยกันถึงพรุ่งนี้ แม้ร่างสูงจะต้องไปทำงานแต่เช้าก็ตาม
เพื่อนสนิทมาอยู่ด้วยก็ต้องพูดคุยปล่อยความเป็นตัวเองสักหน่อย ยามอยู่ที่ทำงานยังต้องพยายามปกปิดความเป็นสาวที่อยู่ในจิตใจ
ครอบครัวของพลินยังไม่ค่อยยอมรับเท่าไหร่ เพราะเขาเป็นลูกคนเดียวท่านก็อยากให้มีลูกไว้สืบสกุล แต่พอจะทราบว่าลูกไม่มีจิตใจรักผู้หญิง บุพการีจึงเลือกจะไม่กล่าวถึงและปิดหูปิดตา ทั้งสองเคยเป็นศาสตราจารย์สอนมหาวิทยาลัย ซึ่งเดี๋ยวนี้เกษียณมาอยู่บ้านแล้ว ไปประชุมบ้างตามแต่โอกาสจะอำนวยหรือมีคนติดต่อมา
“อือ” ตอบเสียงเบา กินผลไม้ที่อีกฝ่ายนำมาวางไว้
“เป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น” เหลือบมองร่างบาง ก่อนจะนั่งขัดสมาธิบนโซฟา คิดว่าดาราสาวคงมีเรื่องกังวลให้คิดไม่ตก
“คือว่า เรื่อง” เหมือนติดอ่างชั่วขณะ ตาลอกแลกพยายามคิดว่าควรเริ่มต้นอย่างไรดี เธอไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่ายังชอบเขาอยู่ แม้จะเป็นเพื่อนสนิทอย่างพลินก็ตาม
“เรื่อง” เอียงคอแล้วมองหน้าอีกฝ่าย พยายามกลั้นยิ้มกับท่าทีของอัยย์ญาดา คนที่แสดงทุกอย่างออกทางใบหน้า ไม่มีการเก็บอารมณ์สักนิด แบบนี้จึงอยู่ในวงการไม่ได้อย่างไรล่ะ
“เอ่อ จริงๆ ฉันก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอกนะ แต่เพราะพี่อิงเป็นพี่สาวของฉันแล้วคนเป็นน้องก็ต้องสนใจเรื่องของพี่หน่อย ขนาดเรื่องของคนอื่นฉันยังอยากรู้เลย แต่มันไม่ได้..” อธิบายยืดยาวจนคนตัวสูงกว่าถอนหายใจ พลางคว้ามือเพื่อนมากุมไว้แล้วจบเบาๆ เหมือนเป็นการเรียกสติ
“แกพูดซะยืดยาว อยากถามว่าพี่อิงกับพี่กล้าเป็นแฟนกันจริงเหรอใช่ไหม” ช่างเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันมายี่สิบกว่าปีจริงๆ
พลินเหมือนมองทะลุเข้าไปข้างในใจของเธอ และมันก็จริงเมื่อหล่อนยังคงตอบตะกุกตะกักและพยายามปฏิเสธ แต่ดวงตากลับไม่กล้าสบ หลุบมองพื้นซึ่งแสดงให้เห็นแล้วว่าปากกับใจไม่ตรงกัน
“ก็..ก็ไม่เชิงหรอก แต่รู้ก็ได้ไม่ได้เบียดเบียนความรู้ในสมองฉันเท่าไหร่” หมั่นไส้จนต้องกรอกตาบน ขนาดนี้แล้วยังบอกไม่อยากรู้อีก
ที่เงียบและเหม่อลอยตอนกินข้าวใช่ว่าเพื่อนอย่างเขาไม่รู้ แต่เพราะต้องการแกล้งต่างหากจึงพูดเรื่องอื่น พอจะมองออกว่า อัยย์ญาดายังไม่ลืมรักแรกของตัวเอง
ผู้ชายที่หล่อเหลา สุภาพ เรียนเก่ง กีฬาดี เป็นหนุ่มฮอตในหมู่สาวๆ เป็นที่รักของอาจารย์หลายคนในโรงเรียน ไม่แปลกใจถ้าหญิงสาวจะฝังใจจนลืมไม่ลง
“ขี้เกียจบอกอ่ะ” เล่นตัวบ้างแล้วนั่งหันหน้ามาทางจอโทรทัศน์ หยิบรีโมทเลือกหนังที่ชอบแล้วกดเปิด ทำให้ลูกสาวคนเล็กของกำนันอาธรต้องตีแขนเรียวดังเพี๊ยะ เล่นเอาสะดุ้งจนต้องหันมามองคาดโทษ
“นังกระปุก” เรียกชื่อจริงที่พ่อแม่ตั้ง เว้นชื่อที่อีกฝ่ายตั้งเองอย่างปุ๊กปิ๊ก เพราะมันช่างต่างกับคนตัวสูงกว่าร้อยแปดสิบ
“นี่ฉันถามจริงนะ ฉันเป็นเพื่อนแกมากี่ปีคิดว่าไอ้คำพูดเมื่อกี้ฉันจะไม่รู้จริงเหรอว่าแกยังชอบพี่กล้า” ประโยคนั้นจี้ใจดำจนร่างบางต้องเถียงหน้าตาย ทั้งที่รู้ว่าอย่างไรก็เถียงสู้ไม่ได้แต่ขอให้ได้ปฏิเสธไว้ก่อน
“บ้า! ใครจะชอบผู้ชายคนนั้นกัน ฉันไม่ได้ชอบ ไม่เลยสักนิด” ส่ายหน้าไม่ยอมรับ แล้วมองไปที่โทรทัศน์เหมือนตั้งใจดูหนัง แต่พลินก็ฉลาดพอจะแกล้งกลับ
ถ้าเพื่อนบอกว่าไม่ชอบ อย่างนั้นตนไม่บอกคงไม่เป็นปัญหาตรงไหน ใช่เรื่องสำคัญเสียเมื่อไหร่ล่ะ
“งั้นฉันไม่ตอบ” หยิบหมอนมากอดแล้วดูหนังไปพลาง
อัยย์ญาดาถึงกับคิดหนักว่าควรทำอย่างไรจึงจะรู้เรื่องของกล้าตะวันและพี่สาวของตน คืนนี้ถ้าไม่รู้ต้องนอนไม่หลับแน่ ทว่าในใจก็ไม่อยากยอมรับความรู้สึกที่ว่าเธอยังชอบรุ่นพี่สุดหล่อของโรงเรียน
น่าเจ็บใจจริง
“เออๆ ชอบ ฉันยังชอบเขา” สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริง แพ้ท่าหมดราบคาบ ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน
ตอนอยู่วงการผู้ชายหล่อมีเยอะ รวยก็มีมากเข้ามาให้เลือกสรรตลอด แต่คนเหล่านั้นคบไม่นานก็มีปัญหาตามมาไม่หยุด และเป็นหล่อนเองที่อดเปรียบเทียบคนเหล่านั้นกับกล้าตะวันไม่ได้
ถึงจะไม่รู้จักเขาอย่างจริงจัง แต่จากที่แอบมองมาก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเช่นไร อาจหน้านิ่งเป็นนิจอีกด้านกลับอ่อนโยนเพียงแค่เผยรอยยิ้ม สุภาพกับทุกคนแม้กระทั่งผู้ที่ด้อยกว่า
ทว่าพอคิดถึงเรื่องที่เขาทิ้งของวันปัจฉิมที่หล่อนอุตส่าห์ให้ก็รีบลบภาพมายาเหล่านั้นออกจากหัวทันที
“โธ่ๆ ชะนีน้อยผู้มากรัก ตอนเป็นดาราฉันเห็นแกมีข่าวกับผู้ชายมากมาย ที่แท้ก็ยังไม่ลืมรักแรกอย่างพี่กล้านี่เอง มาโอ๋ๆ หน่อยซิ” กอดร่างบางเอาไว้แล้วโยกเล็กน้อยเหมือนกล่อมเด็ก
พอจะเข้าใจความรู้สึกของอัยย์ญาดาอยู่บ้าง ทั้งยังทึ่งที่อีกฝ่ายรักผู้ชายคนนี้มากกว่าสิบปี มันไม่ง่ายเลยที่จะชอบใครนานขนาดนี้ เห็นนิสัยห้าวแบบนี้แต่พอรักใครแล้วก็รักจริง
“ฉันดูเหมือนคนโง่มากไหมแก” ดวงตาแดงก่ำเมื่อคิดถึงเรื่องในอดีต ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนเธอก็ยังอ่อนไหวกับเรื่องของกล้าตะวันเสมอ
ทำเอาคนเห็นต้องจับใบหน้าหวานแล้วบีบเล่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เห็นแข็งแกร่งแต่ข้างในกลับบอบบาง
“แกจะร้องไห้ทำไม การรักใครสักคนมันไม่ใช่เรื่องโง่สักหน่อย แกแค่มีใจที่มั่นคงฉันยังอิจฉาเลยเพราะสำหรับฉันน่ะ กินแล้วจบ” ท้ายประโยคทำให้ร่างบางหัวเราะออกมา ตีมือเพื่อนแล้วเอาออกจากหน้าตน
เธอไม่ชอบเลยกับการที่ตนยังหลงเหลือความรู้สึกให้แก่รุ่นพี่คนนั้น เรื่องที่ผ่านมาแล้วทำไมมันไม่ผ่านไป ยังฝังลึกอยู่ได้
“แกอ่ะ แต่ฉันก็ยังเจ็บนะเว้ยกับสิ่งที่เขาทำ” ถอนหายใจเมื่อคิดถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้น หล่อนไม่เคยแอบรักใคร หรือเพราะความจริงกลัวว่าตนเองจะไม่สมหวังจึงไม่กล้ารักใคร ผู้ชายที่เคยผ่านมาเมื่อเห็นลักษ์นาราต่างก็ลืมเธอกันทั้งนั้น
คงไม่เว้นกล้าตะวันที่ตอนนี้คบกับพี่สาวเธอ
“พี่เขาทำอะไร ตอนสารภาพแล้วโดนปฏิเสธแบบนุ่มนวลเหรอ” เท่าที่รู้ก็มีเท่านี้ไม่ใช่เหรอ หรือว่าตนพลาดเรื่องสำคัญอะไรไปอีก
“เปล่า มันยังมีอีกเรื่องที่ฉันไม่กล้าบอกแก” พึมพำเสียงเบาและไม่กล้าพูดแม้แต่กับเพื่อนสนิท เธอเก็บความชอกช้ำนั้นเอาไว้
ใครจะคิดว่าคนอย่างอัยย์ญาดาจะนั่งร้อยลูกปัดให้ผู้ชาย พอเอาให้เขาดันพบว่าอีกฝ่ายนำไปทิ้งถังขยะ ใจดวงน้อยเจ็บปวดจนร้องไห้อยู่หลายวัน บังคับใจให้เกลียดเขาและลืมเรื่องราวทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้น