บทที่ ๑ กลับบ้านเรา (๑๐๐)
ที่อาจจะต้องมีพี่เขยเป็นคนซึ่งตนเคยสารภาพรักและอกหักมาแล้ว
“เรานี่ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ก็ตอนนี้..” พูดยังไม่ทันจบก็มีคนขัดซะก่อน
“กลับมาแล้วค่ะ” พี่สาวคนสวยนั่นเอง เดินเข้ามาในบ้านด้วยรอยยิ้มที่เปล่งประกายความสุข หน้าตาอิ่มเอมเหมือนคนมีความรักทำเอาอัยย์ญาดาปั้นแต่งสีหน้าไม่ถูก
“อุ่น กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” เข้าไปหาน้องสาวตัวดี พลางสวมกอดเอาไว้จนคนที่นั่งบนแคร่ต้องหันมาหาแล้วลุกยืนกอดตอบ ไม่อย่างนั้นคงลำบากน่าดู
ลักษ์นาราเป็นพี่สาวแสนดีที่ไม่เคยดุด่าน้องสักครั้ง ตามใจมาโดยตลอดแม้จะโดนแม่หรือพี่ชายบ่น คอยปลอบเมื่อหล่อนได้คะแนนน้อย คอยกันคนที่มาหาเรื่องว่าเป็นอันธพาลให้เสมอ และเธอก็รักพี่สาวคนนี้มากเสียด้วย
ทว่าทำไมตอนนี้ถึงไม่ได้ดีใจตอนเจอหน้าพี่เลยล่ะ..
อาการวูบโหวงที่อยู่ในใจมันคืออะไร หล่อนกลัวอะไรกันแน่ถึงไม่สามารถยิ้มกว้างได้เต็มปาก ทั้งที่ได้เจอคนในครอบครัวแท้ๆ
“ถึงตอนบ่าย” ตอบไม่เต็มเสียงก่อนจะผละออก ยังไม่ทันได้พูดคุยกันแม่ก็ออกมาจากครัวเพราะไปเก็บของและล้างไม้ล้างมือเตรียมกินข้าวเย็น
“แล้วกล้าล่ะ” พ่อลงมาจากบ้านก่อนจะถามลูกสาว แสดงว่าทุกคนทราบหมดว่ากล้าตะวันจะมากินข้าวที่บ้าน มีเพียงเธอคนเดียวไม่รู้
เผลอกำมือเข้าหากันพลางสูดลมหายใจ เธอไม่สามารถทนนั่งร่วมโต๊ะกับเขาได้หรอก ไม่ทันให้เตรียมตัวเตรียมใจกันก่อนเลย ไม่เจอตั้งสิบปีแถมไม่รู้ข่าวคราวด้วย
คงต้องหาเหตุผลเพื่อหนีไปที่อื่น
แล้วจะไปที่ไหนดี..
“ขนของอยู่ค่ะ เห็นว่าไปภาคใต้ได้อาหารทะเลมาฝาก อ่ะ นั่นไงมาแล้ว” ทุกสายตาหันไปมองที่คนมาใหม่ เพราะจอดหน้าบ้านจึงต้องเดินผ่านร้านขายของชำกว่าจะเข้ามาข้างในใช้เวลาค่อนข้างนาน
ดวงตากลมเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาอีกครั้ง เจอกันครั้งล่าสุดคือวันสอบวันสุดท้ายของรุ่นพี่มอหก ก่อนที่เขาจะเตรียมตัวไปเรียนที่มหาวิทยาลัย แล้วก็ไม่ได้ติดต่อหรือถามไถ่เรื่องของชายหนุ่มเลย
แต่ที่จริงก็ไม่เคยคุยกันอยู่แล้ว จะติดต่อหรือไม่ก็คงเหมือนเดิม
ผ่านมาสิบปีผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ยังคงหล่อเหลาเหมือนครั้งแรกที่เจอไม่ผิด จำวินาทีที่เดินผ่านเขาช่วงงานกีฬาสีได้ไม่ลืม หนุ่มหล่อที่ทำหน้านิ่งแต่สาวกลับมองตามเป็นพรวน หนึ่งในนั้นก็คือเธอเอง
ใบหน้าหล่อเหลา ตาเรียวยาว จมูกโด่งรับกับริมฝีปาก ผิวขาวเริ่มคล้ำจากแดดแต่รอยยิ้มยังคงงดงามไม่เปลี่ยน และสติหล่อนก็หายไปอีกครั้งเมื่อสบสายตากับเขาในรอบสิบปี
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะจนต้องกำมือแน่น ได้ยินเสียงอื้ออึงผ่านหูเท่านั้นก่อนจะได้สติเมื่อบิดาเรียกชื่อของร่างสูง
“กล้า มานั่งๆ ได้อะไรมาฝากกล่องใหญ่เชียว” ร่างหนาเดินมาวางของไว้บนโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ มีกล่องโฟมขนาดกลางและถุงขนาดใหญ่วางอยู่ข้างๆ ถือเป็นของฝากจากภาคใต้ให้ครอบครัวกันต์ธนิน
“ผมไปสุราษฎร์ฯ มาครับ เลยซื้อกุ้งแล้วก็ปลาหมึกสดมาฝาก มีพวกอาหารแห้งด้วยนะครับ” อธิบายให้ฟังซึ่งพ่อกำนันก็พยักหน้าเข้าใจ
ในบรรดาผู้ชายที่มาติดพันลูกสาวของเขาดูเหมือนกล้าตะวันจะเข้าท่าที่สุดแล้ว ทั้งนอบน้อมและเอาการเอางาน ขยันขันแข็งยืนด้วยลำแข้งของตนเอง คนแบบนี้สิที่น่าเอามาเป็นลูกเขย
แต่ลูกสาวก็ปฏิเสธว่าเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น ไม่มีอะไรเกินเลย ท่านจึงทำได้เพียงภาวนาให้กามเทพทำงานโดยไว อยากให้สองคนนี้มีหลานให้ตนอุ้มเต็มแก่แล้ว
“ขอบใจมากๆ ไปล้างมือแล้วมากินข้าวด้วยกันสิ” ทุกคนทำเหมือนเขาเป็นคนในครอบครัว จนอัยย์ญาดาที่มองต้องเม้มปากแน่น
ไม่พอใจ เธอไม่พอใจมากๆ แต่ไม่อาจทำอะไรได้ การพบหน้าโดยไม่ทันตั้งตัว แถมหน้าตายังไร้การแต่งแต้ม การแต่งตัวก็แค่เสื้อยืดและกางเกงวอร์มธรรมดา ไม่น่าดึงดูดใจสักอย่าง
ติดลบพันเปอร์เซ็นต์ เทียบกับพี่สาวที่สูงยาวรูปร่างสะโอดสะองไม่ได้เลย
“ครับ” ร่างหนาเข้าไปในครัวเพื่อล้างมือ ทำให้ลักษ์นาราต้องขอตัวบ้างเพราะทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน
“หนูขอไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ” ขึ้นไปบนบ้านเพื่อเปลี่ยนการแต่งการ และเมื่อสบโอกาสอดีตดาราสาวก็ย่องไปยังโรงรถทันทีโดยพยายามไม่ให้ใครเห็น
“อ้าว แล้วเราจะไปไหน” แต่เอื้ออังกูรที่สังเกตก็รีบถามน้อง หล่อนควบมอเตอร์ไซค์แล้วสตาร์ทอย่างไวว่อง ตอนนี้ขอหนีตายก่อนแล้วกัน ใครจะอยากอยู่ร่วมโต๊ะกับผู้ชายคนนั้น
ให้หล่อนปั้นหน้ายินดีกับพี่สาวคงเป็นไปได้ยาก ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าลืมอีกฝ่ายได้แล้วหรือเปล่า เพราะเธอพยายามฝังเรื่องในอดีตเอาไว้ลึกสุดใจ พยายามไม่เอ่ยถึงไม่คะนึงหา
ทว่าจะไม่เป็นไปตามที่หวังเท่าไหร่ เพียงแค่สบตาไม่กี่วินาที เรื่องครั้งในอดีตก็วนเวียนไม่หยุดจนเธอคิดว่าคงตัดใจจากชายผู้นั้นไม่ได้
“ปุกมันโทรตามอ่ะ เดี๋ยวหนูไปหาเพื่อนก่อนนะจะรีบกลับ” ขับมอเตอร์ไซค์ออกไปทางหลังบ้าน ตอนนี้คงต้องไปหาเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่อนุบาล
“ไม่กินข้าวเหรอ” ตะโกนถามอีกครั้ง
“ไม่กิน” แล้วหล่อนก็ออกจากบ้านขับไปทางบ้านของพลิน มนต์รำไพหรือกระปุกชื่อที่ใครๆ ก็รู้จัก แต่ไม่ถูกใจเจ้าของชื่อจนต้องตั้งเองว่าปุ๊กปิ๊ก
ถัดไปสองซอยก็ถึงบ้านปูนสองชั้น พื้นที่มีไม่ค่อยมากพอจอดรถยนต์สองคันและมอเตอร์ไซค์หนึ่งคันเท่านั้น มีเสียงหมาเห่าจนเจ้าของบ้านมาเปิดเพราะรำคาญ
“โอ๊ย จะเห่าอะไรนักหนา” ไม่ต้องมีออดก็รับรู้ว่ามีคนมา ชายผิวขาวใส่เพียงเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นออกมาหน้าบ้านด้วยใบหน้าบูดบึ้ง แทบไม่มองว่าแขกเป็นใครด้วยซ้ำ
“กระปุก” หล่อนเรียกเสียงเบาก่อนจะฉายไฟมาที่หน้าตนเอง เล่นเอาเพื่อนสนิทร้องวี้ดว้ายหมดภาพลักษณ์หนุ่มหล่อที่สร้าง
“กรี๊ด กล้วยบวชชีผีแม่ย่านาง นังไออุ่น หล่อนกลับมาแล้ว” รีบเปิดประตูแล้วพาเพื่อนสนิทเข้าบ้าน ส่วนสุนัขพอเห็นว่าเป็นกลิ่นที่คุ้นเคยก็กลับไปนอนหมอบอยู่ที่เดิม
“โอเวอร์ กลับมาแล้วสิไม่งั้นจะเห็นเหรอ ฉันมีเรื่องอยากเม้ากับแกเต็มไปหมด” หน่วยเก็บข้อมูลยังต้องพ่ายให้กับเพื่อนหล่อนคนนี้ รู้เรื่องชาวบ้านดีกว่าเรื่องของตัวเองซะอีก
ใครแต่งงานกับใคร นอกใจมีกิ๊กมีเมียน้อยที่ไหน รู้ไปหมดเสียทุกอย่างจนอยากตั้งสำนักให้ด้วยซ้ำ
“ตายแล้ว มาไม่บอกไม่กล่าว ดีนะพ่อแม่ฉันไม่อยู่ไปประชุมที่อุบลฯ วันนี้นอนกับฉันไหมเราจะได้คุยกันทั้งคืน” ควงแขนเพื่อนเข้าบ้าน พลางพูดคุยอย่างสนิทสนมถึงไม่ได้เจอกันนาน แต่เพราะรู้ใจจนเชื่อมต่อกันติดโดยเร็ว
ช่วงที่พลินไปหาอยู่เมืองหลวงเธอรู้สึกผิดกับอีกฝ่ายมาก จำได้ว่าวางท่าเป็นคนดังจนเกือบเลิกคบกัน หล่อนขาขึ้นจนไม่สนใจใครและเผลอทำนิสัยแย่ ดีที่ได้เพื่อนคนนี้เตือนถึงกลับมาเข้าร่องเข้ารอยบ้าง ไม่อย่างนั้นคงเตลิดไปไกล
“พรุ่งนี้ไม่มีงานเหรอ” เข้ามาในบ้านทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เธอเลยนั่งรอที่ห้องรับแขก ส่วนเพื่อนเข้าครัวพร้อมเอาจานออกมาวางที่โต๊ะกับข้าว
“โอ๊ย ก็มีงานเนี่ยแหละเลยอยากคุยทั้งคืน แล้วทำไมมาตอนนี้ยะ ฉันกำลังทำกับข้าวกินไรมายัง กินข้าวด้วยกันไหม” ร่างบางรีบลุกมาช่วยเตรียมอาหาร
“เออดี คิดถึงฝีมือแก” ถึงเธอจะทำอาหารไม่อร่อย แต่พลินนั้นเรียกได้ว่าพ่อบ้านพ่อเรือนมาก ทำอะไรก็อร่อยไปหมดทุกอย่าง ถ้าไม่รับราชการซะก่อนคงได้เป็นเชฟมืออาชีพที่ร้านอาหารของแม่เธอไปแล้ว
“อยากกอดแต่เพื่อนเป็นชะนีเลยไม่อยากแตะเท่าไหร่ อ่ะๆ ขอกอดหน่อยแม่ดาราข่าวฉาว” วางอาหารไว้บนโต๊ะเรียบร้อยก็หันมากอดเพื่อน ปกติมักจะจิกกัดกันตลอด แต่เวลามีเรื่องก็หลังชนกันสู้ไม่ถอย
ผละออกแล้วนั่งข้างกัน ร่างสูงไปหยิบจานแล้วคดข้าวใส่ให้แขกเล็กน้อย รู้ว่าช่วงเย็นเพื่อนสนิทไม่ค่อยรับประทานอาหาร ส่วนของตนก็พูนไปเลยเพราะเหนื่อยจากการทำงาน
“ฉันมีเรื่องจะถาม” เข้าประเด็นทันที มาที่นี่ก็เพราะต้องการอยากทราบเรื่องนี้โดยเฉพาะจนอ้อมโลกไม่ไหว
“เรื่อง” ตักอาหารใส่จานแล้วหันมามอง ข้าวคำใหญ่กว่าปกติเพราะหิวมาก หันมองใบหน้าหวานไร้เครื่องสำอางเติมแต่ง
“พี่อิงกับพี่กล้า เป็นอะไรกัน” กัดริมฝีปากลุ้นกับคำตอบของพลิน ใจเต้นรัวยิ่งกว่าตอนบอกรักผู้ชายเสียอีก หล่อนได้แต่อธิษฐานให้สิ่งที่กลัวไม่เป็นความจริง
ใครจะอยากได้คนที่เคยชอบมาเป็นพี่เขยกันล่ะ
“อ้าว แกไม่รู้เหรอ ก็พี่แกกับพี่กล้าเป็นแฟนกัน” แต่ดูเหมือนสวรรค์จะไม่เป็นใจ ประโยคนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงมากลางดวงใจจนแตกเป็นเสี่ยง มือไม้อ่อนแรงจนปล่อยช้อนส้อมกระทบจาน
เป็นไปไม่ได้ เธอไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ