บท
ตั้งค่า

บทที่ ๑ กลับบ้านเรา (๖๐)

ใครจะคิดว่านอกจากกินข้าว จะต้องให้บริการทางเพศด้วยจึงทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายแล้วหนีออกมา เป็นเรื่องราวให้ชาวขาเม้าได้พูดถึงเกือบเดือน แถมงานต่างๆ ถูกแคนเซิลเพราะผู้ชายไม่ยอมจะเอาเรื่อง แต่คงจัดการด้านกฎหมายไม่ได้ ถึงต้องราวีเรื่องการงาน

หล่อนพยายามสู้สุดตัวเพื่อต่อสู้ความไม่เป็นธรรม แต่ก็ไม่เป็นผลจึงคิดว่ากลับบ้านเกิดดีกว่า ปรึกษาพ่อแม่แล้วขายทุกอย่างที่ถือครอง แม้จะเสียดายแต่ก็ดีกว่าถูกยึดไปต่อหน้าต่อตาถ้ายังดื้อจะรั้งไว้ทั้งที่ไม่กำลังทรัพย์จ่าย

“เฮ้อ นอนดีไหมนะ” คิดอย่างกังวลเพราะเพิ่งกินอิ่ม แต่หนังตาไม่ฟังเสียงใดๆ กลับเริ่มปิดลงจนร่างบางตัดสินใจสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม เข้าสู่ห้วงนิทราพลางกอดตุ๊กตาตัวนิ่มสีขาวที่บิดาซื้อให้วันจบการศึกษา

นอนหลับลึกจนไม่ได้ยินเสียงเรียก ตื่นมาอีกทีเพราะได้ยินเสียงเอะอะจากด้านล่าง เลยคว้ามือถือมาดูเวลาเห็นว่าหกโมงเย็นแล้วถึงได้ลุกไปล้างหน้าล้างตา

ไม่คิดว่าตัวเองจะนอนนานจนตะวันตกดินถึงเพิ่งรู้สึกตัว แล้วคืนนี้จะนอนหลับไหมเนี่ย

ส่องกระจกมองหน้าขาวใสที่ไร้รูขุมขน หมดไปเท่าไหร่กับการบำรุงหน้าและร่างกายเพื่ออาชีพนักแสดง แต่กลับต้องมาพังเพราะผู้มีอิทธิพลของวงการ มันน่าเจ็บใจจนอยากทำร้ายร่างกายไฮโซหน้าหม้อคนนั้น

ทว่าทำอะไรไม่ได้เนื่องจากแบคหลังใหญ่โต แถมหล่อนยังเป็นเพียงดาราโนเนมที่ยังไม่ดังถึงขั้นซุปเปอร์สตาร์ ส่วนมากก็ได้รับเพียงบทเพื่อนนางเอก หรือนางเอกละครเย็นเท่านั้น ได้เงินแต่ไร้ชื่อเสียง

“นอนอะไรนักหนา เดินทางเหนื่อยมากเหรอ” เห็นน้องสาวเดินลงมาข้างล่างได้ก็แขวะตามประสาพี่ชายปากร้ายใจดี ยังรักษาเอกลักษณ์เอาไว้อย่างครบถ้วน ทว่าน้องตัวแสบก็วิ่งเข้ามากอดเอวพี่ชายไว้แน่นจนเกือบหายใจไม่ออก

“พี่เอื้อ คิดถึงจัง” โยกตัวไปมาแล้วเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่า

เอื้ออังกูร กันต์ธนินเป็นพี่ชายของเธอที่ชอบบ่นน้องสาวเหลือเกิน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะกินก็บ่น จนคิดว่าพี่กับพ่อสลับบทบาทกันหรือเปล่า แต่ก็ช่างตามใจและพร้อมปกป้องเสมอ ตอนที่เธอโทรมาร้องไห้ให้ฟัง ก็เป็นเขาที่สั่งให้กลับบ้าน ถึงขนาดจะมารับแต่เพราะติดงานใหญ่จึงไม่สามารถปลีกตัวได้ กำนันอาธรเลยต้องไปรับลูกสาวกลับบ้าน

ร่างสูงเป็นวิศวกรในบริษัทก่อสร้างใหญ่มีเครือข่ายทั่วประเทศ และดีตรงที่มีบริษัทย่อยอยู่ต่างจังหวัดทำให้เขาสามารถทำงานใกล้บ้านได้

นอกจากอาชีพประจำยังต้องดูแลตลาดอีกต่างหาก เป็นอีกหนึ่งธุรกิจของที่บ้าน ไหนจะร้านอาหารของมารดาที่ช่วยไปดูเรื่องโครงสร้างในบางครั้ง

เขาจึงอยากให้น้องสาวคนเล็กมาช่วยงานมากกว่าอยู่ตัวคนเดียวในเมืองหลวง

“ไม่ต้องมาปากหวาน คิดถึงแต่ไม่กลับบ้านสักที” แกะมือปลาหมึกออกจากเอว แล้วจับไหล่บางไว้พลางมองหน้าที่ไม่เจอมาหลายเดือน บางครั้งเขาลงไปกรุงเทพฯ ก็จะนัดเจอบ้าง แต่คุยกันไม่นานอัยย์ญาดาก็มักจะมีธุระ

ไม่แน่ใจว่าธุระจริงหรือขี้เกียจฟังพี่ชายบ่นกันแน่ ในเมื่อเอื้ออังกูรไม่ชอบอาชีพของหล่อนเท่าไหร่ บอกเพียงว่าไม่มั่นคงและหาคนจริงใจยาก

“ก็ตอนนั้นงานหนูหนักเลยไม่ได้กลับ แต่ตอนนี้มาให้บ่นทั้งวันแล้ว จะกินข้าวอีกแล้วเหรอ เพิ่งกินไปเองอ่ะ” มองอาหารที่มารดาเริ่มยกมาตั้งโต๊ะ นอกจากนี้ยังมีแม่บ้านชื่อว่าป้าวุ้นคอยช่วยเหลือ

หน้าบ้านที่เปิดเป็นร้านค้ายังมีคนเข้าออกเพื่อซื้อของ ในหมู่บ้านที่อยู่ในซอยเช่นนี้ร้านค้าค่อนข้างสำคัญ ถึงจะเป็นเพียงร้านโชว์ห่วยไม่ได้ใหญ่อะไร แต่ข้าวของก็ครบครันไม่ต้องออกไปซื้อข้างนอก

“ก็ไม่ต้องกิน” เขาเดินไปนั่งยังที่ประจำของตนเอง วันนี้กินข้าวที่แคร่หน้าบ้านเพราะอากาศไม่ร้อนมาก แถมไม่ค่อยมียุงอีกต่างหาก

“ไม่เอาหรอก แม่อุตส่าห์ทำให้หนู” ยิ้มกริ่มแล้วไปนั่งข้างพี่ชาย มองดูอาหารอีสานที่ทยอยมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ เริ่มวางจานให้แต่ละคนเพื่อเตรียมสำหรับการรับประทานมื้อค่ำ

ถึงจะกินแล้วแต่ใช่ว่าจะกินอีกไม่ได้สักหน่อย รสมือแม่ดีจนหยุดซดไม่ได้ ทำร้านอาหารก็ขายดิบขายดีของหมดตั้งแต่ยังไม่ทันปิดร้าน สงสัยพรุ่งนี้เธอต้องไปกินข้าวที่ร้านซะแล้ว

“ใครว่าแม่ทำให้เรา” พี่ชายหันมาถาม เล่นเอาคนที่คิดว่าตนสำคัญหน้าเหวอ ทำเยอะขนาดนี้ไม่ใช่เพื่อเธอหรอกเหรอ

“อ้าว แล้วทำตั้งเยอะ ทำให้ใครอ่ะ” ทำหน้าสงสัย ก่อนที่มารดาจะออกมาจากครัวพร้อมอาหารจานสุดท้าย

“เห็นวันนี้อิงบอกว่าจะพากล้ามากินข้าวด้วย” แล้วบอกด้วยเสียงเรียบ ทำให้คิ้วสวยแทบจะผูกกันเป็นปม หล่อนจำไม่ได้แล้วว่าเพื่อนพี่สาวมีคนชื่อกล้าด้วย

พี่อิงคบสาวประเภทสองตั้งแต่เมื่อไหร่ ปกติคบแต่เพื่อนผู้หญิงไม่ใช่เหรอ ส่วนผู้ชายที่เป็นเพื่อนนับคนได้ส่วนมากมักอยากพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งนั้น

กระไดบ้านไม่เคยแห้งเพราะต่างมีชายหนุ่มแวะเวียนมาขายขนมจีบลูกคนกลางของพ่อกำนัน วันดีคืนดียกขันหมากมาสู่ขอทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ หน้าตาเป็นที่เลื่องลือถึงขนาดประกวดนางนพมาศชนะเลิศสามปีซ้อน เล่นเอาผู้เข้าแข่งขันคนอื่นต้องมาขอร้องว่าหยุดประกวดเถอะ ไม่อย่างนั้นตนคงไม่ได้รางวัลแน่

น่าอิจฉา เพราะอัยย์ญาดาไม่เคยเป็นเช่นนั้นเลย ชอบใครพอเขาเห็นพี่สาวเธอต่างก็เปลี่ยนไปชอบคนพี่กันหมด หล่อนถึงกับเซ็ง

“กล้า กล้าไหน” หันมาถามพี่ชาย จนเอื้ออังกูรต้องถอนหายใจอีกรอบกับความจำสั้นยิ่งกว่าปลาทองของน้องสาว

“ก็กล้ารุ่นพี่โรงเรียนเราไง จำไม่ได้เหรอ” กล้ารุ่นพี่..

เธอมีรุ่นพี่ตั้งหลายคน ใครจะไปจำได้ว่ากล้าคนไหน คิดพลางส่ายศีรษะก่อนชื่อหนึ่งจะแวบเข้ามาในหัวอย่างไม่ทันตั้งตัว

เธอลืมผู้ชายคนนี้ไปได้อย่างไร คนที่สร้างบาดแผลครั้งแรกไว้ให้รักที่แสนเจ็บปวด คนที่เอาขนมของหล่อนไปให้คนอื่น ไม่ยอมมาตามนัดต้องรอจนมืดค่ำ บอกปฏิเสธความรักและที่หนักสุดคือทิ้งของปัจฉิมที่เธอเอาไปให้

ร้องไห้อยู่หลายคืนและจำฝังใจมาถึงทุกวันนี้

“หมายถึงพี่กล้าตะวันเหรอ” ถามเสียงเบา ใจเต้นตึกตักภาวนาให้สิ่งที่คิดไม่เป็นความจริง ถึงเขาเป็นเพื่อนห้องเดียวกับพี่สาวเธอแต่คงไม่สนิทจนถึงขั้นมากินข้าวที่บ้านหรอก

คิดอย่างนั้นแต่กลายเป็นว่าคำตอบของมารดาทำให้หญิงสาวตัวแข็งทื่อ ชาตั้งแต่ปลายเท้ามาถึงศีรษะ

“ใช่” หญิงสาวทำตัวนิ่งไม่ขยับเขยื้อน หัวใจเหมือนถูกแช่แข็งไว้ในช่องฟรีซ สับสนว่าทำไมคนทั้งสองถึงชวนกันมากินข้าวที่บ้าน

สนิทสนมขนาดนั้นเลยเหรอ ทั้งที่เมื่อก่อนก็แค่เพื่อนร่วมห้อง หล่อนไม่เห็นว่ากล้าตะวันจะมีท่าทีสนใจพี่สาวของตนในฐานะแฟนเลย จึงค่อนข้างเบาใจว่าคงไม่มีอะไรในกอไผ่

แต่เวลาผ่านไปทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลง ดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งสองจะพัฒนาจากคนรู้จักเป็นคนรู้ใจไปแล้ว อัยย์ญาดาถามตัวเองว่าจะรับได้เหรอถ้ากล้าตะวันจะเข้ามาเป็นพี่เขย และคำตอบก็ชัดเจนตรงตัว

เธอรับไม่ได้!

“แล้วทำไมสนิทจนมากินข้าวบ้าน” หันไปถามพี่ชาย แววตาอยากรู้เพราะแทบไม่ได้อัพเดทความเคลื่อนไหวของคนในบ้าน พี่ชายพี่สาวคบใคร แต่งงานหรือยังหล่อนไม่ทราบ คิดถึงแต่เรื่องตัวเองเป็นหลักจนมาวันนี้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel