บทที่ ๑ กลับบ้านเรา (๓๐)
บทที่ ๑
กลับบ้านเรา
รถยนต์เข้ามาจอดในปั๊มน้ำมัน ช่วงบ่ายแดดค่อนข้างแรงทำให้หญิงสาวที่นอนหลับสนิทอยู่บนรถต้องหรี่ตาแล้วขยับไปด้านข้างที่แสงแดดส่องไม่ถึง ลืมตามองสำรวจโดยรอบก็พบว่าขณะนี้บิดาจอดรถเพื่อเติมน้ำมัน
ดวงหน้ารูปไข่เห็นร้านสะดวกซื้อที่ควรมีคนเข้าออกตลอด แต่ตอนนี้กลับร้างผู้คนก็ตื่นเต็มตา ขยับเข้าไปหาคนขับรถกิตติมศักดิ์ที่เป็นถึงกำนันประจำตำบล นอกจากตำแหน่งทางราชการแล้วยังมีกิจการเป็นของตัวเองอีกด้วย แต่ถือครองในชื่อของลูกชายคนโต
มือเรียวแบไปตรงหน้าท่าน จนต้องหันมามองคนที่นั่งด้านหลัง ซึ่งได้รับเพียงรอยยิ้มหวานและดวงตาประจบเหมือนครั้งยังเป็นเด็กไม่มีผิด
“ขอเงินหน่อย” ผิดจากที่คิดเสียเมื่อไหร่ รู้สึกว่านอกจากอายุแล้ว ลูกสาวคนเล็กก็ไม่ได้พัฒนาไปตามวัยเลย ต้องให้พ่อมาคอยตามล้างตามเช็ดให้ตลอด
ทว่าจะดุด่าก็ไม่กล้า เพราะตามใจมาตั้งแต่เด็กแล้ว แค่เห็นหน้าก็ใจอ่อนจนคนทั้งบ้านคร้านจะพูด
“ไม่มีเงินเลยหรือไง” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วเปิดเพื่อจ่ายค่าน้ำมัน ขับรถไปจอดหน้ามินิมาร์ทสีเขียวที่กระจายไปทั่วประเทศ
“ใช้เงินตัวเองมันเปลือง เงินพ่อดีกว่า ขอแบงค์สีเทา” นวดไหล่ให้ท่านพลางอ้อนเสียงหวาน เรื่องแบบนี้ไม่มีใครเกินอัยย์ญาดาไปได้หรอก
ลูกอ้อนมีกี่เม็ดขนมาใช้กับพ่อจนหมด ถึงจะโดนแม่หรือพี่ชายด่าแต่แค่บีบน้ำตานิดหน่อยก็ถูกปลอบจากบิดาและพี่สาวแล้ว
ครอบครัวกันต์ธนินดูเหมือนว่าลูกสาวคนเล็กจะเป็นใหญ่ที่สุดในบ้าน เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจจนยอมตามใจและคอยโอบอุ้มทุกครั้งเมื่อมีปัญหา
“ขอแล้วยังเรื่องมากอีก อ่ะ เอาไป” ยื่นเงินไปตรงหน้าบุตรสาว และเป็นสีเทาตามคำขอจนคนมองยิ้มแก้มปริ
“ก็หนูจะได้ซื้อกาแฟแล้วก็ขนมรสโปรดให้พ่อด้วยไง ไม่ทอนนะ” รับมาไว้ในมือก่อนจะบอกแล้วลงจากรถ ท่านจึงมองตามพลางส่ายศีรษะอย่างระอา กระนั้นดวงตาก็เต็มไปด้วยความเอ็นดู
เพราะตอนเกิดมาลูกสาวคนเล็กน้ำหนักตัวเบา แถมตอนเด็กยังเป็นปอดบวมจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ดีที่หมอช่วยไว้ทำให้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาโดนประคบประหงม อยากได้อะไรก็ถูกประเคนให้ทุกอย่าง
แต่ไม่ใช่ว่าหล่อนจะเป็นคนนิสัยเสียชอบหาเรื่อง ถึงแม้ว่าทางโรงเรียนจะเรียกผู้ปกครองไปพบบ่อยเพราะมีเรื่องวิวาท ทว่าชนวนทั้งหมดก็เกิดจากผดุงความยุติธรรมช่วยเหลือนักเรียนที่ถูกรังแกทั้งนั้น กำนันอาธร กันต์ธนินจึงไม่ว่าอะไร เพียงแค่ตักเตือนเกี่ยวกับความปลอดภัยเท่านั้น
ออกมาจากร้านค้าก็ตรงกลับบ้าน เธอไม่มานานจนเกือบจะลืมเส้นทางไปแล้ว หลังจบชั้นมัธยมปลายก็ไปต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ กลับบ้านแค่ปีล่ะครั้งหรือหนักสุดก็ไม่กลับเลย มีแม่และพี่สาวไปหาบ้างแต่ไม่ค่อยบ่อย
แต่สิ่งที่ได้รับเยอะสุดคือผลไม้ซึ่งส่งไปรษณีย์ให้หล่อนทุกเดือน กินไม่หมดจนต้องไปแจกจ่ายเพื่อนในสาขา ถึงบ้านจะไม่ได้ทำไร่แต่ก็มีสวนผลไม้ที่มารดาปลูกไว้รับประทาน มีหลายชนิดให้เลือกไม่ต้องไปซื้อตามท้องตลาด
‘บ้านศรีสุข’ อ่านชื่อหมู่บ้านของตนเองแล้วมองสองข้างทางที่ยังมีป่าขึ้นรกชัฏ พอถึงกลางหมู่บ้านก็ยกมือขึ้นไหว้พระที่ปกปักษ์รักษา ก่อนที่พาหนะจะจอดลงยังบ้านไทยประยุกต์เนื้อที่กว้างขวาง ด้านหน้าเปิดเป็นร้านขายของชำ
ทำให้กำนันเลือกเข้าทางด้านหลังเพื่อความสะดวก และเมื่อรถจอดหล่อนก็สะพายกระเป๋าแบรนด์ดังที่เหลือเพียงใบเดียวลงจากรถ เข้าไปกอดมารดาที่มายืนรอด้านหน้า
“แม่จ๋า! คิดถึงๆๆๆ” หอมแก้มซ้ายขวางพลางบอกคิดถึงเสียงดังจนคุณวิไลลักษณ์ กันต์ธนินต้องตีแขนบุตรสาวเบาๆ เป็นการบอกให้หยุด
“พอได้แล้ว แก้มแม่ช้ำหมด” ยิ้มแก้มปริพร้อมต้อนรับลูกสาว ร่างบางผละออกก่อนจะมองหน้าแม่ที่เริ่มมีริ้วรอยตามกาลเวลา
หล่อนหลงแสงสีในเมืองหลวงมานานเกินไป ความสนุกและเม็ดเงินที่หาได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากจนลืมบ้านเกิด ไม่ได้มาดูแลบุพการีจนตอนนี้ท่านต่างจากเมื่อครั้งตนยังเป็นเด็กอยู่มาก
ดวงตากลมมีน้ำตาคลอ ก่อนจะพยายามแย้มยิ้มกลบความรู้สึกภายในใจ
“มีอะไรกินบ้าง หิว” ลูบท้องตนเองจนแม่ต้องหันไปมองสามีตัวใหญ่ที่เดี๋ยวนี้กินเยอะจนลงพุง โดนดุหลายครั้งเรื่องอาหารว่าให้เพลาลงบ้าง แต่เพราะมีเมียและลูกสาวคนกลางที่ทำอาหารอร่อย ใครบ้างจะอดใจไหว
“ไม่ต้องมองพ่อแบบนั้นเลย ซื้อให้กินระหว่างทางแล้ว แต่ลูกแม่ท้องเป็นหลุมดำ กินอะไรไปก็หิวตลอดนั่นแหละ” รีบแก้ตัวเพราะรู้ดีว่าคู่ชีวิตกำลังก่นด่าทางสายตา
พ่อกำนันที่น่าเคารพของชาวบ้าน แต่เมื่ออยู่ในบ้านกลับยอมเมียจนหงอ หยิบกระเป๋าของบุตรสาวลงจากรถแล้วเข้าไปข้างใน
“แม่ทำของชอบไว้ให้ มา เข้าไปกินข้าว” ปากจิ้มลิ้มฉีกยิ้มกว้าง คล้องแขนแม่เข้าไปในบ้านแล้วพบอาหารที่วางไว้เต็มโต๊ะ เห็นแบบนี้ก็ตาลุกวาวรีบไปล้างไม้ล้างมือมานั่งกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย
เพราะนอกจากปลาราดพริก ไก่ทอดกรอบ ยำทะเลแล้วยังมีกุ้งและปูตัวโตพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดอีกด้วย ใครบ้างจะอดใจไหว มื้อนี้อิ่มจนพุงกางทั้งพ่อทั้งลูกแทบไม่มีแรงไปทำอย่างอื่นจึงได้นั่งดูทีวี
บ้านไทยประยุกต์หลังนี้อยู่กันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า ก่อนที่กำนันอาธรจะปรับปรุงจนได้บ้านสองชั้นที่ข้างล่างเป็นปูน ข้างบนเป็นไม้ทาสีขาวทั้งหลัง
ด้านล่างมีส่วนเปิดโล่งเพื่อง่ายต่อการพบปะกับผู้คนหมู่มาก มีส่วนครัวและห้องนั่งเล่นของคนในครอบครัว บันไดขึ้นชั้นสองจะอยู่ด้านหน้าบ้านและหลังบ้านสองที่ พอขึ้นมาพบตรงกลางจะเป็นพื้นที่โล่งไม่มีหลังคา มารดาจึงนำไม้ประดับมาวางเอาไว้ ก่อนจะเป็นห้องนอนของคนในครอบครัวและห้องรับแขกอีกหนึ่งห้อง
ร่างบางถือกระเป๋าเสื้อผ้าของตนเองขึ้นมาด้านบน ผ่านโถงกลางชั้นสองแล้วเดินไปยังห้องด้านในสุดติดระเบียงด้านหลัง ทำให้อัยย์ญาดาสามารถลงไปข้างล่างได้สองทาง สะดวกต่อการหลบไปเที่ยวไม่ให้พ่อแม่ทราบ
เปิดประตูห้องนอนของตนก็พบว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ทั้งโปสเตอร์นักร้องที่ชอบ ของเล่นสะสมหรือคอมพิวเตอร์ติดสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนมิกกี้เม้าส์ หล่อนเดินเอากระเป๋าไปวางไว้บนเตียง ค่อยมาเปิดม่านรับแสงแล้วรีบปิดทันทีเพราะร้อนมาก
เปิดเครื่องปรับอากาศจนห้องเย็นช่ำ เข้าห้องน้ำชำระร่างกายค่อยมาเก็บของเข้าตู้เสื้อผ้า ใครจะคิดว่าจะได้กลับมาบ้านเกิดในสภาพนี้
ตอนเลือกเรียนในกรุงเทพฯ บุพการีก็เตือนไว้แล้วเพราะเป็นห่วง แต่ยังดีที่เธอสามารถใช้ชีวิตคนเดียวได้โดยไม่เสียคน แถมยังคว้าใบปริญญามาให้ครอบครัว จึงสามารถอยู่ต่อและทำอาชีพในวงการบันเทิงจนถึงปัจจุบัน
แค่ปีแรกก็ทำเงินเป็นกอบเป็นกำ หญิงสาวตัดสินใจซื้อคอนโดและรถยนต์ด้วยเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง แต่เป็นการผ่อนชำระไม่ได้ซื้อรอบเดียว คิดว่าอย่างไรก็จ่ายไหวแน่นอน
ทว่าหนี้กลับเพิ่มเพราะความสุรุ่ยสุร่าย การหามันง่ายจนใช้เกินความจำเป็น และเรื่องมันหนักขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเธอตอบรับการรับประทานอาหารกับไฮโซชื่อดังเพราะต้องการเงินห้าแสนตามที่เขาบอก