ศิษย์ล่วงเกินครั้งที่ 8
มู่ชิงเห็นสีหน้าซาบซึ้งขอบคุณของเจียงอันเหอเปลี่ยนเป็นยุ่งยากขึ้นมาก จึงได้แต่เอ่ยปากแก้ต่างแทนศิษย์น้องของตน “เสี่ยวซานก็นิสัยแบบนี้แหละ ปากคมดุจมีด ใจอ่อนดุจเต้าหู้ เขายินดีช่วยเจ้ามากเลยนะ เพียงแต่ปากร้ายไปหน่อย”
เจียงอันเหอมองเขาอย่างสบายอารมณ์ พูดว่า “ศิษย์พี่อย่างท่าน น่าจะไม่ได้เป็นอย่างสบายเท่าไหร่นัก”
มู่ชิงก้มหน้ายิ้มเล็กน้อย แต่ก็ยังแฝงด้วยความไม่เข้าใจบางประการ “ข้าหรือ ได้เป็นศิษย์พี่ของเขานับเป็นวาสนาที่ได้สั่งสมมาหลายชาติ เดิมทีเขาไม่น่าจะได้เข้าสำนักนี้หรอก ล้วนเป็นเพราะข้า...” เขาหยุดพูดกะทันหัน ผินหน้าเข้าหาความมืด “คำพูดพวกนี้เจ้าอย่าไปพูดกับเสี่ยวซานล่ะ คนอย่างเขาลำพองตนง่าย”
เกี่ยวกันตรงไหนเล่า เจียงอันเหอพยักหน้าเลื่อนลอย ชางไป๋ซางถือดอกไม้ใบหญ้ากลับมาพอดี “นี่ เจ้าดูสิว่าใช่สิ่งนี้หรือไม่ ศิษย์พี่ พวกท่านพูดอะไรกัน”
“พูดว่ากระบวนกระบี่เมื่อครู่ของเจ้าคมแค่ไหน อันเหอบอกว่านับถือเจ้ายิ่งนัก”
เจียงอันเหอกำลังรับดอกพระจันทร์ครึ่งซีกมาจากมือชางไป๋ซาง ยังไม่ทันได้พูดตอบโต้ ระบบก็เด้งกรอบคำเตือนว่าเสร็จสิ้นภารกิจขึ้นมา เขาจึงได้แต่กลืนคำพูดที่ติดอยู่บนริมฝีปากลงไป ยิ้มให้ทั้งอย่างจริงใจและเสแสร้ง กล่าวว่า “ขอบใจเจ้ามาก ข้านับถือเจ้ายิ่งนัก...”
เขาพูดแบบนี้ ชางไป๋ซางจึงไม่พูดขัดเขาอีก หัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า “อย่างนั้นหรือ เจ้าเองก็ไม่ได้แย่อย่างนั้นหรอกนะ...”
มู่ชิงเห็นพวกเขาทั้งคู่เป็นอย่างนี้ จึงยิ้มออกมาราวกับเป็นครูสอนภาษาชั้นประถมของเจียงอันเหอ ครูที่จัดการเรื่องทะเลาะวิวาทของเด็กน้อยทั้งสองได้เรียบร้อยมองดูพวกเขาเกี่ยวก้อยดีกันก็ยิ้มออกมาน้อยๆ
เจียงอันเหอ: เหมือนมีอะไรไม่ปกติ...
ตีบอสเรียบร้อย ภารกิจก็เสร็จสิ้นแล้ว ทั้งสามกลับไปยังจุดเปลี่ยนฉากเพื่อกลับไปยังหมู่บ้าน
“ครั้งนี้ขอบใจพวกเจ้าสองคนมาก ไม่เช่นนั้นข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจได้อย่างไร” เจียงอันเหอกล่าวขอบคุณพวกเขาสองคนอีกครั้ง มู่ชิงโบกมือ “ไม่เป็นไรหรอก พบกันเป็นวาสนา เจ้าไปทำภารกิจเถอะ ข้าจะพาเสี่ยวซานไปเดินเล่นที่อื่น”
“พวกเราเพิ่มเพื่อนกัน หากมีวาสนาคงได้พบกันอีก”
หลังจากที่ทั้งสามคนเพิ่มเพื่อนกันเรียบร้อย เจียงอันเหอจึงได้กล่าวอำลาพวกเขา แล้วไปหาผู้ใหญ่บ้านเพื่อจบภารกิจ
“ศิษย์พี่ เหตุใดท่านจึงดีกับเจ้านั่นเหลือเกิน ยังเพิ่มเพื่อนด้วย หึ” แม้ว่าเด็กน้อยชางไป๋ซานจะไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แต่ก็ยังคงไม่ชอบใจอยู่ดี
“เสี่ยวซาน ข้าบอกว่าหากมีวาสนาคงได้พบกันอีก ไม่ได้บอกว่าจะเจอกันในเกมอีก” มู่ชิงลูบหัวศิษย์น้อง
“ว่าไงนะ...เจ้านั่นน่ะหรือ เขาดูโง่เขลาปานนั้น!” ชางไป๋ซานเลื่อนลอยอยู่ครู่ จึงได้สติคืน
“อ้อ เช่นนั้นหรือ ไม่รู้เหมือนกันว่าใคร ตอนคารวะอาจารย์วันแรกอาจารย์ก็บอกว่าโง่เขลา”
“ศิษย์พี่!!!”
เจียงอันเหอไม่ได้ยินบทสนทนาพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้อง เขาหาต้นไทรมาตลอดทาง เมื่อพบต้นไทรและเห็นผู้ใหญ่บ้านยังอยู่ตรงนั้น ก็ดีใจจนรู้สึกขอบคุณคมกระบี่สวยงามฉับไวของชางไป๋ซานขึ้นมาอีกครั้ง
เขานำดอกพระจันทร์ครึ่งซีกให้กับผู้ใหญ่บ้านตามคำเตือนของภารกิจ ผู้เฒ่ามองดูดอกพระจันทร์ครึ่งซีก และก็ไม่รู้หยิบขวดที่บรรจุน้ำเต็มออกมาจากไหน เขากัดสมุนไพรสองสามคำ แล้วก็ดื่มน้ำตามกลืนลงไป จากนั้นผู้ใหญ่บ้านก็ดูกระชุ่มกระชวยทันที เจียงอันเหอกลัวว่านี่จะเป็นการสะท้อนกลับ เกิดท่านผู้เฒ่าล้มลงกับพื้นจะทำอย่างไร
“เฮ้อ ครานี้ข้านึกออกแล้ว! ปีที่แล้วตอนที่ร่วมงานครบร้อยปีของหมู่บ้านในเมือง มีคนมาแนะนำหมู่บ้าน บอกว่านานมาแล้ว ที่ลำธารสายหนึ่งในหมู่บ้านพวกเขาเคยปรากฏเงาของพญาหงส์ขึ้น” ผู้ใหญ่บ้านลูบเคราสีขาวของเขา พูดว่า “คงจะเกี่ยวข้องบ้างกับหนังสือเล่มนี้ของเจ้า เจ้าลองไปที่หมู่บ้านนั้นดูสิ”
เจียงอันเหอได้ฟังจึงดีใจออกนอกหน้า “ขอบพระคุณท่านปู่ผู้ใหญ่บ้าน แล้วหมู่บ้านนั้นอยู่ที่ใดกัน ข้าควรจะไปอย่างไร”
“หมู่บ้านนั้นมีชื่อว่าหมู่บ้านชมจันทร์ เจ้าไปหาหนิวเอ้อร์ ไหว้วานให้เขาช่วยไปส่งเจ้าตอนที่ไปซื้อของในเมืองด้วย” ผู้ใหญ่บ้านชี้ไปที่ถนนทางขวามือ “เดินไปทางนั้น ประเดี๋ยวเจ้าก็จะพบเขา”
“ขอรับ ขอบพระคุณท่านปู่ผู้ใหญ่บ้าน” หลังจากที่เจียงอันเหอขานตอบ ระบบก็แจ้งเตือนอัพเดตภารกิจใหม่ขึ้นมา เขาจึงวิ่งไปที่ NPC
หนิวเอ้อร์ “น้องชาย พรุ่งนี้ข้าถึงจะเข้าไปซื้อของในเมืองได้ พรุ่งนี้เช้าเจ้าค่อยมาหาข้าแล้วกัน” พูดจบยังแถมลูกกวาดเม็ดหนึ่งให้กับเจียงอันเหอ
พอเจียงอันเหอดูเวลาที่ระบบแจ้งเตือน เวลานี้เป็นเพียงเวลาไฮ่ ซึ่งก็คือราวๆ สามทุ่ม คิดๆ ดู เขาออฟไลน์แล้วกลับไปนอนดีกว่า แม้ว่าจะยังไม่ถึงเวลาที่ตั้งไว้ก่อนหน้า แต่เขาจะอยู่เล่นทั้งคืนไม่ได้นี่นา เขาปรับออกจากระบบกลับสู่โลกภายนอก หลังจากที่ออกจากเกมแล้ว จึงวางพิงค์กี้ที่รักไว้ที่ตู้ตรงหัวเตียง แล้วนอนหลับอย่างสบายอารมณ์
อ้อ จริงสินะ จังหวะที่หลับตาลง เจียงอันเหอแอบอธิษฐานเงียบๆ หวังว่าตัวเองคงจะไม่ฝันถึงวิหคซ่างฟู่