ศิษย์ล่วงเกินครั้งที่ 6
ตอนนี้ระบบก็ส่งเสียงแจ้งเตือนอีกครั้งหนึ่ง
[ภารกิจ (เด็ดสมุนไพร) ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้านความจำไม่ดี ต้องการให้ท่านไปที่ดันเจี้ยนถ้ำด้านหลังภูเขา สามารถเข้าดันเจี้ยนได้จากจุดรับส่งด้านตะวันออกของหมู่บ้าน หลังจากที่ท่านปราบสัตว์ประหลาดในถ้ำได้แล้ว จะได้รับสมุนไพรดอกพระจันทร์ครึ่งซีก ขอเตือนด้วยความหวังดี ดันเจี้ยนนี้ต้องตั้งกลุ่มขึ้นมาอย่างน้อยสามคนจึงจะผ่าน กรุณาอย่าฉายเดี่ยว]
ยังไม่ทันได้ฉายเดี่ยว เจียงอันเหอก็เริ่มคิดแล้วว่าจะไปหาอีกสองคนมาจากไหน เฮ้อ ลองไปดูที่ประตูดันเจี้ยนก่อนดีกว่า เผื่อที่ประตูดันเจี้ยนจะยังมีเจ้าเด็กน้อยตะโกนว่า “ตี้เข้าดันเจี้ยนสองขาดหนึ่ง แปดขวบขึ้นไป ทัก”
เนื่องจากตอนนี้เป็นตอนกลางคืนแล้ว ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงไปที่ลานกลางหมู่บ้านกัน ดังนั้นตลอดทางที่เจียงอันเหอเดินมาจึงมีแสงไฟลอดออกมาจากห้องสองแห่ง ส่วนที่อื่นๆ นั้นเงียบสงบ
“ศิษย์พี่! ข้าอยากออฟไลน์!”
“ไม่ได้หรอก ศิษย์น้อง ระยะเวลาออนไลน์ของเจ้าในสัปดาห์นี้ยังไม่นานพอ”
“แต่ว่าข้าอยากฝึกบำเพ็ญในโลกความจริงนี่นา"
“เฮ้อ อดทนสักหน่อยเถอะนะ อย่างไรเสียกฎระเบียบที่เหล่าผู้อาวุโสตั้งขึ้นมาพวกเราก็ต้องรักษา ศิษย์พี่ก็เป็นเพื่อนเจ้าอยู่นี่อย่างไรเล่า”
“ศิษย์พี่...”
เจียงอันเหอ ???
จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงสนทนามาจากหลังคาบ้าน ทำไมถึงรู้สึกแปลกได้ขนาดนี้นะ
“ศิษย์พี่ ด้านล่างมีคนแอบฟังพวกเราอยู่!” สิ้นเสียง เงาคนสองเงาก็กระโดดลงมาจากหลังคาบ้าน มาอยู่ตรงหน้าของเจียงอันเหอ
สองคนนี้ คนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบกว่า ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบ คนที่อายุน้อยกว่าดูโกรธขึ้งเล็กน้อย ชี้ไปที่เจียงอันเหอแล้วพูด “เจ้ามาแอบฟังพวกเราสนทนากันได้อย่างไร”
เจียงอันเหอทำหน้าไม่รู้เรื่อง “...ข้าเปล่า ไม่ใช่นะ ข้าแค่ผ่านมาทางนี้เท่านั้น!”
“จริงหรือ” เด็กหนุ่มมองเขาอย่างสงสัย หนุ่มที่อยู่ข้างๆ ยิ้มให้ ลูบหัวเขา “เอาละ เสี่ยวซาน อย่าโวยวายไป สหายท่านนี้ ดึกดื่นป่านนี้ เหตุใดจึงมาเดินอยู่แถวนี้”
พวกนายก็กำลังซุบซิบกันอยู่ไม่ใช่เหรอ เจียงอันเหอกลอกตา “ ข้าตั้งใจจะไปดันเจี้ยนหลังภูเขาที่อยู่ด้านตะวันออกของหมู่บ้าน แต่จะว่าไป สหายผู้คุมเกมคนนั้นของเจ้าออกจะเข้มงวดไปหน่อยนะ...”
สองคนฟังแล้วต่างทำหน้างุนงง ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างกระอักกระอ่วน “เอ่อ ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ...ถ้าเจ้าอยากไปดันเจี้ยน มิสู้พวกเราไปด้วยกัน เสี่ยวซานจะได้เห็นด้วยว่าสัตว์ประหลาดหน้าตาเป็นอย่างไร”
“อย่างนั้นก็ดีเลย ข้ากำลังกลุ้มที่ไม่มีเพื่อนร่วมเดินทางพอดี” เจียงอันเหอเข้าไปรวมกลุ่มกับพวกเขาอย่างสนุก อย่าเพิ่งพูดถึงเด็กหนุ่มเลย ชายหนุ่มเองก็คงจะฉกาจไม่หยอก น่าจะเป็นผู้เล่นที่ฝากตัวเข้าสำนักเซียนแล้ว
ทั้งสามออกเดินไปยังประตูสำรอง เดินพลางคุยพลาง ชายหนุ่มมีชื่อว่ามู่ชิง ฝากตัวเข้าสู่สำนักเฉียนหยวนจงเป็นที่เรียบร้อย ฟังจากที่เขาบรรยาย เฉียนหยวนจงเป็นสำนักที่ใหญ่อันดับหนึ่งของโลกบำเพ็ญเซียน แต่ตอนนี้เขาเป็นเพียงศิษย์นอกสำนัก
ส่วนเด็กหนุ่มชื่อชางไป๋ซาน เป็นศิษย์น้องของมู่ชิง ที่พวกเขามาปรากฏตัวที่หมู่บ้านมือใหม่ก็เพราะอยากจะให้ชางไป๋ซานทำความคุ้นเคยกับมนตร์คาถา
เจียงอันเหอฟังเขาบรรยายถึงเรื่องราวต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นในสำนักเฉียนหยวนจง กับทัศนียภาพความงามของบรรพตเซียนที่สำนักเฉียนหยวนจง ก็บังเกิดความรู้สึกขึ้นในใจ ต่อไปเขาก็อยากฝากตัวกับสำนักเซียนที่ยิ่งใหญ่แบบนี้
ชางไป๋ซานเห็นสีหน้าของเจียงอันเหอก็รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ กำลังจะออกวาจากระทบกระเทียบ ศิษย์พี่ก็ห้ามไว้เสียก่อน จึงได้แต่เบ้ปาก ไม่สนใจ
ในตอนที่ทั้งสามคนมาถึงดันเจี้ยนด้านหลังภูเขา เจียงอันเหอจึงเห็นว่าที่นี่ไม่มีคนเลยแม้แต่คนเดียว ไม่เหลือภาพคนจำนวนมากดุจทะเลคนตามที่เขาคิดไว้แต่แรก
มู่ชิงราวกับอ่านความสงสัยบนใบหน้าเขาออก จึงอธิบายให้เขาฟังว่า “เกมนี้มีดันเจี้ยนน้อยมาก นอกจากดันเจี้ยนรวมขนาดใหญ่ ก็มีแค่ดันเจี้ยนตามเนื้อเรื่องตัวละครแล้ว ซ้ำดันเจี้ยนเนื้อเรื่องยังมีคนใช้ได้แค่นิดเดียว คนที่เข้าไปได้มีแต่ตัวละครตามที่เนื้อเรื่องกำหนด”
เจียงอันเหอพยักหน้าเข้าใจ ทั้งสามคนจึงเดินไปยังจุดวาร์ป
ราวกับเพียงพริบตา ภาพที่อยู่ตรงหน้าเจียงอันเหอก็กลายเป็นป่าเขามืดครึ้ม ด้านในมีถ้ำที่มืดสนิทอยู่ถ้ำหนึ่ง มู่ชิงเห็นว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีแสงสว่าง จึงร่ายคาถาสองสามคำที่เจียงอันเหอฟังไม่ออกออกมา จากนั้นในมือของเขาก็มีเปลวไฟดวงหนึ่งปรากฏขึ้น ส่องสว่างไปไกลสักสิบเมตรได้
มู่ชิงกำชับทั้งสองคน “พวกเจ้าเดินตามหลังข้าแล้วกัน อย่าเถลไถลล่ะ” ไม่รู้ว่าเขาชักกระบี่เล่มหนึ่งออกมาจากไหน จากนั้นจึงพาพวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปในถ้ำ
เจียงอันเหอยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้คุ้นหูคุ้นตานัก แต่เป็นเพราะมองไม่เห็นในถ้ำทั้งหมด เขาจึงยืนยันไม่ได้
จนกระทั่งทั้งสามเดินเข้ามาในส่วนลึกของถ้ำ จึงเห็นบอสดันเจี้ยน เจียงอันเหอถึงได้นึกออกว่าความคุ้นเคยนี้มาจากไหน
บอสที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา มีสามหัว หกขา สามปีก ก็คือวิหคซ่างฟู่นั่นเอง