ศิษย์ล่วงเกินครั้งที่ 12
รอจนหลังเจียงอันเหอเลิกงานแล้วออนไลน์ในวันที่สอง เกมก็ผ่านไปแล้วกว่าเกือบครึ่งเดือน
หนิวเอ้อร์กำลังจะขับเกวียนออกจากหมู่บ้านชมจันทร์มุ่งหน้าไปยังเมืองผิงหนานพอดี เห็นเด็กคนที่เขาหาอยู่สองสามวันเมื่อครึ่งเดือนก่อนยืนตะลึงงันอยู่กลางถนน
“เฮ้ เด็กคนนั้นน่ะ!” หนิวเอ้อร์คิดอยู่นานจึงรู้สึกว่าดูเหมือนตัวเองจะไม่รู้ชื่อเด็กคนนั้น จึงได้แต่ตะโกนหาสองสามที
พอเจียงอันเหอออนไลน์ก็ได้ยินเสียงท่านพี่หนิวเอ้อร์ จึงอดอุทานออกมาไม่ได้ว่าตัวเองนั้นโชคดีเหลือเกิน ขานเรียกพลางวิ่งไปหาหนิวเอ้อร์พลาง
ทั้งคู่คุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จึงนั่งรถม้าออกไปจากหมู่บ้านด้วยกัน มุ่งหน้าไปเมืองผิงหนาน
เมืองผิงหนานเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ และก็เป็นสถานีแรกที่ผู้เล่นมือใหม่ส่วนมากมาเยือนหลังออกจากหมู่บ้าน ดังนั้นแม้ว่าเมืองจะเล็กไปหน่อย แต่ตลาดและโรงน้ำชามักจะมีคนแน่นเสมอ ครื้นเครงเป็นที่สุด
หนิวเอ้อร์พาเจียงอันเหอมาถึงหน้าโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ช่วยเขาสอบถามข้อมูลเล็กน้อยก็กล่าวอำลา ขับเกวียนที่บรรทุกสินค้าไว้เต็มมุ่งหน้าไปยังตลาด
เจียงอันเหอโผล่หน้าไปดูที่หน้าประตูโรงน้ำชา ด้านในมีคนจำนวนมากที่กำลังจิบน้ำชาฟังนิทาน ไม่เพียงแต่ NPC ยังมีผู้เล่นตัวจิ๋วบางกลุ่มที่นั่งแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอยู่ตรงนั้น พอเห็นว่ามีผู้เล่น เจียงอันเหอจึงคิดจะถามพวกเขาเรื่องข่าวคราวผู้รับช่วง ดังนั้นจึงก้าวขาสั้นป้อมมุ่งหน้าไปทางพวกเขา
นักเล่านิทานในโรงน้ำชากำลังเล่าอย่างออกรสออกชาติ เจียงอันเหอเห็นเขาถึงกับกระโดดลุกขึ้นมาทำไม้ทำมือ จึงแบ่งสมาธิไปฟังสักเล็กน้อย เรื่องที่เล่าคือบรรพชนเซียนชิงหมิงเซียนจวินกำลังทำสงครามมังกรเพลิงอยู่ที่เขาคุนหลุน สุดท้ายมังกรเพลิงก็ถูกผนึก คิดว่านักเล่านิทานน่าจะเป็นผู้คุ้มครองผู้ซื่อสัตย์ของเซียนท่านนั้น เขาสรรเสริญซ่างหมิงเซียนจวินราวกับว่าเป็นอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียนที่ไม่มีผู้ใดเทียบเท่า
จนกระทั่งเจียงอันเหอเดินเข้าไปใกล้ผู้เล่นกลุ่มนั้น จึงค้นพบว่าในกลุ่มคนสิบกว่าคนนั้นกลายเป็นตลาดแลกเปลี่ยนการซื้อขายเล็กๆ ไปเสียแล้ว
คนเราแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ แต่ถ้าหากว่าไม่มีข้อมูลที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการ และตนเองก็ต้องการข้อมูลจากฝ่ายตรงข้าม ก็ต้องใช้เงินเพื่อเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนมา หลังจากการเจรจาขั้นตอนที่ทั้งสองฝ่ายคุยกันไว้อย่างราบรื่น ต่างฝ่ายต่างก็เสนอข้อมูลให้ฝ่ายตรงข้าม ถ้าหากว่าสินค้าไม่ตรงปก การเจรจาก็จะเป็นโมฆะ ส่วนผู้เล่นที่ให้ข้อมูลปลอมเพื่อหลอกเงินหรือให้ข้อมูลแล้วไม่ชำระเงินก็จะถูกแบล็คลิสต์เพื่อทำการแจ้งเตือนต่อไป และเข้าร่วมการค้าไม่ได้อีก
ที่จริงมีอีกหลายคนที่เข้าไม่ถึงโอกาสแต่พอจะมีความรู้ด้านอุปกรณ์ภารกิจในเกม มักจะเป็นผู้เล่นที่มาเข้าร่วมการค้าเป็นประจำ พวกเขาไม่กลัวการถูกตัดอันดับแล้วเริ่มต้นใหม่ แต่พวกเขาใช้สมาคมการค้ากับความรู้ของพวกเขาเองเป็นเครื่องมือในการหาเงิน
เจียงอันเหอเห็นว่าเหรียญค่าตอบแทนโดยมากเป็นเหรียญไม่กี่สิบอันให้วนกันอยู่แบบนั้น เขาตรวจดูแหวนสรรพสิ่งของตัวเอง ข้างในน่าจะเหลือห้าสิบกว่าตำลึง จึงได้เบียดเข้าไปร่วมวงสมาคมการค้า
เวลานี้การค้ารอบแรกเพิ่งจะจบลง และก็มีช่องว่างที่นานๆ จะมีสักทีหนึ่ง เจียงอันเหอรีบบอกข้อมูลของผู้รับช่วงที่ตนเองต้องการ หลังจากที่ผู้เล่นคนหนึ่งครุ่นคิด จึงรีบบอกความต้องการตัวเองออกไป เจียงอันเหอต้องใช้เหรียญสิบตำลึงในการแลกข้อมูลคาถาระเบิดน้ำแข็ง เจียงอันเหอไม่เคยได้ยินศัพท์คาถาระเบิดน้ำแข็งมาก่อน แน่นอนว่าย่อมต้องใช้เหรียญตำลึงในการแลกเปลี่ยนข้อมูล
หลังจากตกลงกันแล้ว ฝ่ายตรงข้ามก็เล่าข้อมูลที่เกี่ยวกับผู้รับช่วงให้เขาฟังมากมาย เจียงอันเหออ่านดูเนื้อหาคร่าวๆ จึงให้เหรียญตำลึงสิบเหรียญแก่เขาไป
ผู้รับช่วง ที่จริงก็คือผู้รับช่วงสำนักในเกม จะต้องมีภารกิจหรืออุปกรณ์พิเศษถึงจะเข้าถึงพวกเขา และผู้รับช่วงส่วนมากในสำนักมักจะรวมตัวกันอยู่ในสำนักบำเพ็ญแห่งหนึ่งในตัวเมือง สำนักเทียนจี
สำนักเทียนจีเป็นสำนักที่รวบรวมและประกาศข่าวทุกอย่างในโลกบำเพ็ญเซียน มีสาขาตั้งอยู่ทุกเมือง ผู้เล่นมักจะมาสัมผัสกับสำนักนี้มากที่สุด และก็มีผู้เล่นบางคนที่มาหาข่าวที่นี่ แต่ค่าใช้จ่ายสูงมาก มีแต่ผู้เล่นที่มั่งมีเท่านั้นถึงจะได้ช่องทางจากสำนักเทียนจี
แต่ว่าฝ่ายตรงข้ามก็ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า ถ้าหากเจียงอันเหอจะหาผู้รับช่วงจากสำนักที่กันดารหน่อย แบบนั้นคงหาผู้รับช่วงในสำนักเทียนจีไม่ได้แน่ๆ อย่างไรเสียโลกบำเพ็ญเซียนกว้างใหญ่ออกขนาดนั้น สำนักก็มีตั้งมากมาย สำนักเทียนจีคงจะรวบรวมข้อมูลจากสำนักต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้
เจียงอันเหอก็ความเข้าใจ แต่เขาเองก็ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองต้องหาผู้รับช่วงสำนักไหน เบาะแสเพียงหนึ่งเดียวคือกระบี่ และก็ได้แต่ต้องไปให้ถึงสำนักเทียนจีก่อนถึงจะรู้
สำนักเทียนจีตั้งอยู่ข้างตลาดใจกลางเมืองผิงหนาน เป็นอาคารสูงสามชั้นที่ไม่ค่อย
ใหญ่นัก คนที่ไปๆ มาๆ มีเยอะเป็นพิเศษ เจียงอันเหอที่เดินถามทางคนมาตลอดจึงหาสำนักเทียนจีเจออย่างง่ายดาย
แต่รอจนเจียงอันเหอเดินเข้ามาในสำนักเทียนจี จึงได้คนพบว่าที่จริงในนี้มีจักรวาล โถงชั้นล่างใหญ่กว่าที่เจียงอันเหอคิดไว้หลายเท่านัก ที่นี่เต็มไปด้วยผู้เล่นและ NPC ด้านบนของ NPC มีเครื่องหมายแสดงเอาไว้ว่าตัวเองเป็นผู้รับช่วงของสำนักไหน ต่อให้เป็นผู้เล่นที่รู้เป้าหมายของตัวเองก็ต้องใช้เวลาครึ่งค่อนวันในการค้นหา
สุดทางของห้องโถงเป็นกระจกน้ำ มีตัวอักษรกะพริบผ่านกำแพงสองสามตัว น่าจะเป็นข้อมูลที่ผู้เล่นคนอื่นประกาศออกมา ห่างกันขนาดนี้ เจียงอันเหอเองก็มองไม่ชัด ดูท่าประโยชน์ในชั้นแรกเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการค้นหาสำนักผู้รับช่วงกับค่าใช้จ่ายให้ผู้เล่นตรวจสอบ
พวกที่มาหาผู้รับช่วงที่สำนักเทียนจีก็คือผู้เล่นที่ยังไม่เข้าสำนักใดๆ ซึ่งก็หมายความว่ารูปร่างของทุกคนเป็นเด็กที่อายุน้อยกว่าสิบขวบ ส่วนพวกผู้รับช่วงที่เป็นผู้ใหญ่ก็ยืนเด่นเป็นจุดสังเกตเหมือนกับนกกระยางในฝูงไก่ หาได้ง่ายมาก
ความยากลำบากของเจียงอันเหอในตอนนี้จะต้องหาภารกิจของตัวเองท่ามกลางผู้รับช่วงเหล่านี้ เขาชักกระบี่ไม่ทราบชื่อออกมา แล้วมองดูอย่างละเอียดสองสามรอบ เมื่อแน่ใจว่าด้านบนมีตราประทับรูปพญาหงส์ ก็ไม่แน่ว่าตัวเองอาจจะลงมือค้นหาจากจุดนี้ดูก็ได้
ดังนั้นเจียงอันเหอจึงกอดด้ามจับกระบี่ไว้ เริ่มหาสำนักที่ผู้รับช่วงมีตัวอักษรพญาหงส์สลักอยู่ เขาโชคดีไม่น้อย ไม่นานก็เห็น NPC ของผู้รับช่วงที่มาจากสำนักหงส์อัคคี เสียดายที่เขาถือกระบี่สอบถามอยู่หลายรอบแต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ดูท่าไม่น่าจะใช่ผู้รับช่วงที่เขาต้องการจะหา
จากนั้นเขาก็เจอผู้รับช่วงจากสำนักหงส์บิน สำนักหงส์นิพพาน แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรมาก เจียงอันเหอทอดถอนหายใจว่าเกมนี้ช่างมีสำนักมากมายเสียเหลือเกิน และก็สงสัยความคิดตัวเองว่าผิดไปตรงไหนหรือไม่
ขณะที่กำลังครุ่นคิด เจียงอันเหอก็เงยหน้าไปเห็นสำนักหนึ่งที่มีตัวอักษรหงส์สลักอยู่ เขาจึงคิดลองเสี่ยงโชคดู จึงเดินไปหาผู้รับช่วงของสำนักนั้น
“ตึกรังหงส์” เขาอ่านชื่อสำนักนี้ออกมา รู้ว่าสึกชื่อเพราะดี ทำให้อดหันไปมองไม่ได้
ในมือของผู้รับช่วงคนนี้มีพัดจีบด้ามหยกขาว กำลังโบกพัดไปมาอยู่บนเก้าอี้ไม้ ราวกับว่าร้อนมากขนาดนั้น และท่าทีหยาบโลนนั้น เมื่อกอปรกับรูปลักษณ์อันหล่อเหลาของเขา ก็ช่างดูรื่นรมย์สายตาเสียเหลือเกิน
เดิมทีเขามองเจียงอันเหอทีหนึ่งแล้วจึงเคลื่อนย้ายสายตาไป แต่เสียง “เอ๊ะ” ดังขึ้นทีหนึ่ง สายตาก็ย้ายไปอยู่ที่ดาบของเจียงอันเหอ
“อืม ดูคุ้นตายิ่งนัก เจ้าหนู กระบี่นี้ได้มาจากที่ใด”
เจียงอันเหอฟังแล้วรู้สึกได้เรื่องได้ราว จึงรีบบอกความเป็นมาของตัวเองให้ผู้รับช่วงฟัง เมื่อผู้รับช่วงได้ฟังจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าพูดขึ้น “ดูท่ากระบี่นี้จะเป็นของคนโบราณ แบบนี้แล้วกัน ข้าจะไปส่งเจ้าที่ตึกรังหงส์ เจ้าก็คืนกระบี่นี้ให้กับเจ้าของ”
ผู้รับช่วงหยิบพัดของตนเองขึ้น เริ่มร่ายมนตร์คาถาใส่เขาอย่างไร้เสียง เจียงอันเหอเห็นด้านบนเป็นภาพวาดพู่กันสีหมึก ยังไม่ทันได้ดูว่าเป็นภาพอะไร คนทั้งคนก็กลายเป็นแสงสีทองแล้วถูกดูดเข้าไปในพัดจีบด้ามหยกขาว
พวกผู้เล่นที่ดูอยู่ข้างๆ ต่างพยายามทำภารกิจของตนเองให้สำเร็จพลางอิจฉาว่ามีคนได้เข้าสำนักอีกคนแล้ว