ศิษย์ล่วงเกินครั้งที่ 10
เพิ่งสิ้นเสียง สีหน้าของเขาก็เริ่มแข็งทื่อขึ้นมา เจียงอันเหอรออยู่สักครู่ แต่ไม่ได้รอดู เขาใช้มือวาดไปวาดมาตรงหน้ามนุษย์ประหลาด เห็นมนุษย์ประหลาดไม่มีปฏิกิริยา เดาว่าเขาคงเข้าไปในสถานการณ์บางอย่างแล้ว เหมือนกับวิหคซ่างฟู่ในตอนนั้น เจียงอันเหอจึงตอบออกไปว่าตกลง มนุษย์ประหลาดจึงได้พูดออกมา
“หลังจากที่ปิศาจกุ่ยเยวี่ยจุนได้ทิ้งวิญญาณเอาไว้ที่นี่แล้ว ปิศาจจำนวนนับไม่ถ้วนจึงใช้สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ทยอยกันมากราบไหว้ไม่หยุดหย่อน หรืออาจจะเรียกว่าหาสมบัติก็ได้ จนทำให้สถานที่แห่งนี้ปกคลุมไปด้วยไอปีศาจ พวกที่มาบำเพ็ญเซียนจึงได้สร้างถ้ำไว้ที่นี่ นักบำเพ็ญก่อนยุคจินตานขออยู่ที่นี่เพื่อรักษาการได้ สำนักใหญ่หลายสำนักจะเป็นผู้ดูแลค่าตอบแทน และก็เป็นการปกป้องคนธรรมดาอีกทางหนึ่งด้วย
มนุษย์ประหลาดพูดๆ ไปก็ตบปากตัวเอง แล้วลูบคลำแหวนที่อยู่บนมือ หยิบสุราที่บรรจุในน้ำเต้าออกมาดื่ม แล้วเล่าต่อ
“ว่ากันว่าสองร้อยปีก่อน ผู้บำเพ็ญเซียนที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นผู้บำเพ็ญพเนจรไร้สำนัก เดิมทีก็ไร้อุปสรรคใดๆ อยู่หรอก หากแต่ในกลางดึกของคืนหนึ่ง คนจำนวนมากเห็นว่าแสงพระจันทร์เป็นสีเลือดวงใหญ่ พวกปิศาจต่างทยอยกันมายังที่แห่งนี้ ว่ากันว่าวิญญาณของปิศาจกุ่ยเยวี่ยจุนจะถือกำเนิด เสียดายพวกเขาคิดไม่ถึง สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือการสังหารฉากหนึ่ง"
“ในตอนที่พวกผู้บำเพ็ญเซียนเร่งกันมา รอบๆ ถ้ำเต็มไปด้วยซากของพวกปิศาจ แต่ไม่เห็นผู้บำเพ็ญพเนจรผู้นั้น ต่อมาพวกเขาก็ได้เจอผู้บำเพ็ญพเนจรผู้ก่อความวุ่นวายผู้นั้น เพื่อที่จะสืบรู้ความจริง จึงมีผู้บำเพ็ญใช้กระจกน้ำร่ายมนตร์แล้วย้อนดูเหตุการณ์"
“ที่แท้เวลาที่ผู้บำเพ็ญพเนจรนั้นตั้งเอาไว้ บังเอิญไปปลุกวิญญาณของปิศาจกุ่ยเยวี่ยจุนเข้า วิญญาณปิศาจได้ปลดยันต์ปิดผนึกออก แล้วผู้บำเพ็ญพเนจรนั้นก็โดนดูดวิญญาณไป ผู้บำเพ็ญพเนจรนั้นสองตาแดงก่ำ สีหน้าบิดเบี้ยว คาดว่าน่าจะได้รับผลกระทบจากไอสังหารในพลังปิศาจ ประจวบเหมาะกับการมาถึงของพวกปิศาจ จึงยิ่งเป็นการกระตุ้นผู้บำเพ็ญผู้นั้น วิญญาณของปิศาจกุ่ยเยวี่ยจุนทำให้เขาคลุ้มคลั่ง และก็ทำให้เขาบำเพ็ญได้ก้าวหน้าไม่น้อยเช่นกัน เพื่อที่จะไม่ให้ผู้บำเพ็ญจากข้างนอกทำลายพลังลมปราณ สัญชาตญาณที่เหลือจึงทำให้เขาต้องสังหาร”
“จากนั้น ในตอนที่เขาไล่ฆ่าปิศาจบางตนไปถึงริมลำธาร แต่กำลังแรงกลับไม่อ่อนลงเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าพลังจากการบำเพ็ญของปิศาจลึกล้ำยิ่งนัก ในเวลานี้เอง จู่ๆ ผู้บำเพ็ญพเนจรก็หยุดลง มองซ้ายแลขวา แล้วล้มพับลงบนพื้นไปอย่างอ่อนแรง สลบไสลไป สิ่งที่กระจกน้ำสะท้อนมีแต่ภาพเหตุการณ์ ไม่มีเสียง พวกผู้บำเพ็ญเซียนทั้งหลายก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้บำเพ็ญพเนจรคนนั้น”
“ผู้บำเพ็ญบางคนเสนอให้สังหารผู้บำเพ็ญพเนจรผู้ที่ดูดวิญญาณปิศาจกุ่ยเยวี่ยจุนนี่เสีย บางคนให้คิดเสียว่าเป็นความเมตตาจากสวรรค์ หากแต่ก็ไม่ได้เป็นความปรารถนาของผู้บำเพ็ญพเนจร เหตุใดชนหมู่มากไม่ร่วมกันหล่อหลอมเขาเสียเล่า พวกเขาตกลงอะไรกัน มีแต่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นที่รู้ เอาเป็นว่าเท่าที่ข้ารู้ สุดท้ายผู้บำเพ็ญพเนจรผู้เคราะห์ร้ายผู้นั้นก็ยังมีชีวิตต่อไป”
ในตอนที่เขาเล่าถึงเคราะห์ร้ายของผู้บำเพ็ญพเนจรผู้นั้น บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มประหลาดขึ้น
ในที่สุดมนุษย์ประหลาดก็เล่าจบแล้วมอบเกล็ดน้ำให้เจียงอันเหอ “นี่คือกุญแจของประตูถ้ำในวันวาน เบาะแสที่หาอยู่ในนี้”
เห็นเขาเพียงโยนสุราน้ำเต้าในมือขึ้น แล้วมันก็โตขึ้นหลายเท่ากลางอากาศ มนุษย์ประหลาดกระโดดพลิกตัวยืนอยู่บนน้ำเต้านั้น แล้วบังคับน้ำเต้าให้ทะยานขึ้น ทิ้งคำพูดไว้คำหนึ่ง “ข้าชื่อมิ่วอี สหายน้อย หากมีวาสนาคงได้พบกันอีก!”
เจียงอันเหอเงยหน้ามองดูมิ่วอีจากไป แม้ว่าก่อนหน้าจะได้สัมผัสมนตร์คาถาที่มู่ชิงกับชางไป๋ซานใช้ แต่ตอนนี้มาเห็นลีลาท่าทางการท่องโลกกว้างของมิ่วอี ถึงได้รู้สึกว่าเขยิบเข้าใกล้วิถีของเซียนเข้าไปอีกนิด
เจียงอันเหอกำกุญแจเกล็ดน้ำที่ใช้เปิดประตูถ้ำไว้ ค้นพบว่าในตอนที่ตัวเองหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เกล็ดน้ำจะส่องประกาย เขาจึงออกเดินทางไปยังทิศนั้น
เจียงอันเหอเดินทางไปตามป่าเขียวขจี เกล็ดน้ำในมือเขาส่องประกายแวววาวขึ้นทุกที กระทั่งเป็นประกายจนแสบตา
ยังไม่ทันรอให้เขาได้มีปฏิกิริยาใดๆ จู่ๆ เกล็ดน้ำก็ลื่นหลุดออกจากมือ พุ่งลอยขึ้นกลางอากาศ เปล่งแสงประกายเป็นวงกว้างออกมา วงล้อมของเกล็ดน้ำค่อยๆ แผ่กระจายออกมาเป็นวงถ้ำ
ประตูใหญ่ของถ้ำเก่าแก่และผุผัง เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา ป้ายที่เอียงกระเท่เร่มองเห็นแต่เพียงคำว่า เซียน เท่านั้น
เจียงอันเหอมองซ้ายมองขวา ยืนยันแล้วว่าน่าจะเป็นถ้ำแห่งนี้ จึงเดินผ่านวงน้ำแล้วผลักประตูใหญ่เข้าไป ประตูใหญ่ส่งเสียง ‘แอ๊ด’ ขึ้นเบาๆ แล้วเปิดออกโดยง่าย เขามองเข้าไปในถ้ำที่ดำสนิท อดพูดออกมาเบาๆ คำหนึ่งไม่ได้ “รบกวนแล้วขอรับ”
ในถ้ำสะท้อนพลังงานของคนที่มีชีวิตอยู่ ไฟค่อยๆ ส่องสว่างขึ้นเอง และนี่ก็ทำให้เจียงอันเหอเห็นว่าถ้ำแห่งนี้ถูกทำลายไปมากขนาดไหนแล้ว
ในตอนนี้ ระบบก็มีการแจ้งเตือน เจียงอันเหอคลิ๊กดู ภารกิจอัพเดตแล้ว ต้องการให้ผู้เล่นทำความสะอาดถ้ำของผู้บำเพ็ญพเนจร
เจียงอันเหอมองดูใยแมงมุมที่เป็นวงวงนั้น แล้วได้แต่ไปหาอุปกรณ์ทำความสะอาด
เขากวาดหยากไย่ลงมา จัดเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาดให้เป็นระเบียบ กวาดฝุ่นผงที่มองเห็นรอบๆ ดวงหน้าน้อยๆ ของเจียงอันเหอสกปรกมอมแมม ในตอนที่เขาจะไปขัดทำความสะอาดประตูใหญ่ ระบบก็ร้องแจ้งเตือนอีกครั้งว่าภารกิจสำเร็จแล้ว
ดูท่าระดับความสะอาดของประตูใหญ่ยังไม่อยู่ในระดับที่ถูกจัดให้อยู่ในภารกิจ เจียงอันเหอจึงกดปุ่มภารกิจเสร็จสิ้น
ชายผู้สวมชุดยาวอย่างผู้บำเพ็ญเซียนสีขาวคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนอาสนะ ดวงตาทั้งสองข้างหลบพริ้ม ตาเนื้อเห็นแสงสีขาวสว่างจากตัวเขาพุ่งออกมารอบทิศ
เจียงอันเหอยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองผู้ชายที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นกับถ้ำต่างๆ ที่ไม่เหมือนเดิม เดาว่าน่าจะเป็นการเข้าไปในเนื้อเรื่องเกม
การเคลื่อนไหวของพลังเร็วขึ้นทุกที คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากัน
ด้านนอกถ้ำที่เจียงอันเหอมองไม่เห็น พระจันทร์ได้กลายเป็นสีเลือดไปแล้วเรียบร้อย ค่อยๆ แทรกซึมผสมผสานกับพลังงานสีขาว กลายเป็นจิตสังหาร
ชายหนุ่มลืมตาทั้งสองขึ้น แววตาที่เดิมทีสุกใสเป็นประกาย ค่อยๆ เลือนหายและหม่นหมองลง
สถานการณ์ถัดไปเหมือนเรื่องราวที่มิ่วอีเล่าให้เขาฟังไม่มีผิดเพี้ยน ปิศาจมารวมตัวกัน การสังหารใหญ่ของผู้บำเพ็ญพเนจร เสียงร้องคร่ำครวญตอนก่อนตายของพวกปิศาจ เลือดสดที่สาดไปทั่ว ไม่มีสิ่งใดเลยที่ไม่ไปกระทบประสาทสัมผัสของเจียงอันเหอ
เขาใช้มือปิดตา ได้แต่แอบดูสถานการณ์ผ่านร่องนิ้ว แล้วคอยบอกตัวเองเป็นนัยว่า “ฉันกำลังดูหนัง ฉันกำลังดูหนัง...”
ในที่สุด มีปิศาจที่ผ่านการบำเพ็ญเพียรตนหนึ่งวิ่งออกมาจากถ้ำ ชายหนุ่มก็วิ่งไล่ตาม สถานการณ์ก็หยุดลงเพียงเท่านี้