บทที่ 3 ฝืนสัญชาตญาณ [1]
เวลา 08.00 น.
กวินเดินทางมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหิรัญรชตตามเวลาที่น้องชายของไตรวิชญ์บอกไว้ และตอนนี้เขาก็ยืนอยู่หน้าห้องเพื่อรอให้ไอ้คุณชายเถื่อนมาเปิดประตู ชั่วอึดใจก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักเดินเข้ามาใกล้ ประตูเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของร่างสูงใหญ่เปลือยแผงอกกำยำ สวมกางเกงผ้ายืดสีเทาขายาว มือหนายกขึ้นเสยผมเผยหน้าผากกว้าง เห็นโครงหน้าหล่อเหลาคมเข้มดูดิบเถื่อนเร้าใจชัดเจน
ทั้งที่พระเจ้าประทานรูปลักษณ์งามสง่าไร้ที่ติมาให้ แต่มันกลับชอบทำหน้าตาโหดเหี้ยมอำมหิต ดวงตาสีน้ำตาลอมแดงแข็งกร้าวทรงพลังอำนาจซะจนคนอื่นพากันเกรงกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ แม้จะชื่นชอบหรือหลงใหลมากแค่ไหนก็ทำได้แค่เมียงมองแล้วนำกลับไปเพ้อฝัน ราวกับสมบัติต้องห้ามที่ไม่สามารถแตะต้องได้
ถึงจะน่าหมั่นไส้ไปสักหน่อย แต่มันก็เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขา นอกจากเขาแล้วใครจะกล้าคบมัน
“อาการน้องเขาเป็นไงบ้างวะ”
“มึงเข้าไปดูเองเถอะ กูรู้แค่ว่ามันยังไม่ตาย แต่น่าจะหนักอยู่ เพราะเมื่อคืนถูกกูทำซ้ำไปอีกรอบ”
“ไอ้ไตร! มึงจะบ้ารึไงวะ จากที่กูฟังมาน้องเขาก็อาการย่ำแย่อยู่แล้ว มึงยังจะหื่นปล้ำน้องเขาอีก ป่านนี้เนื้อไม่ช้ำหมดแล้วเหรอ”
“อย่าพูดมาก เข้ามาดูอาการมันได้แล้ว” ไตรวิชญ์ทำหน้าโหดตาดุใส่เพื่อนเสร็จก็เดินกลับเข้าห้อง
ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่ตรงปลายเตียง สองมือกอดอก สายตาจับจ้องไปยังร่างบางซึ่งถูกม้วนเป็นก้อนกลม ๆ อยู่ใต้ผ้าห่ม เห็นเพียงเส้นผมโผล่ออกมากระจุกหนึ่ง กวินวางกระเป๋าปฐมพยาบาลสีดำลงบนโต๊ะข้างหัวเตียงพลางมองไปยังเจ้าก้อนกลมที่ถูกห่อมิดชิดบนเตียงแล้วก็หลุดขำ
“มึงห่อมิดไปไหมวะ กลัวน้องเขาจะหายใจไม่ออกว่ะ เปิดผ้าห่มออกหน่อย กูต้องตรวจร่างกายน้องเขาอย่างละเอียด เล่นพันผ้าซะไม่เห็นหน้าเห็นตาซะขนาดนี้ จะให้กูดูอาการยังไง”
กวินพูดไปพลางกลั้นขำไปพลาง ขณะที่มองใบหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ของไตรวิชญ์ แต่สายตากลับดุดันน่ากลัว แววตาอำมหิตเลือดเย็นจ้องเขม็งเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ส่งสัญญาณเตือนกลาย ๆ ว่าถ้ายังไม่หุบปากอีก ฟันหน้าเขาได้กระเด็นหลุดออกจากปากทั้งแผงแน่
มันเป็นเรื่องปกติที่อัลฟ่าจะหวงอาณาเขตของตนและไม่ชอบให้มีกลิ่นอัลฟ่าอื่นเข้ามาปะปนในห้อง แต่นี่มันเป็นเหตุสุดวิสัยที่เขาเลี่ยงไม่ได้ จะไม่ชอบใจหรือหงุดหงิดก็น่าจะเก็บอาการหน่อย มันเป็นคนเรียกเขามาเองแท้ ๆ ยังมาแยกเขี้ยวใส่อีก
ไตรวิชญ์ข่มอาการหงุดหงิดงุ่นง่านใจไว้เดินเข้าไปดึงผ้าห่มออกจากตัวนิมมาน เผยใบหน้าอ่อนเยาว์น่ารัก ลำคอขาวเนียนมีแต่รอยดูดเม้มขบกัดเป็นรอยฟัน และหยุดไว้ที่ไหล่มน ก่อนจะกระชากกลับขึ้นมาปิดไว้เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมิดชิดจนไม่เห็นแม้แต่เส้นผม ทำเอากวินถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ อ้าปากค้างอย่างพูดอะไรไม่ออก
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอาการหวงของของมัน ไม่คิดว่าจะหนักเอาเรื่องขนาดนี้ สงสัยคงต้องระวังตัวไว้หน่อยแล้ว ไม่งั้นคงถูกใครบางคนแถวนี้ควักลูกตา
“เอาผ้าห่มออกหน่อยสิวะ มึงจะฆ่าน้องเขารึไง รู้แล้วว่าหวง
โอเมก้าตัวเอง แต่ไม่ต้องทำขนาดนั้นไหมวะ” เสียงทุ้มนุ่มกึ่งขบขันเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มละมุน ใบหน้าสุภาพอ่อนโยนของว่าที่หมอมักล่อลวงพวกสาว ๆ พยาบาลให้มองตามเป็นพรวน แต่ใช้ไม่ได้ผลกับไตรวิชญ์ที่ยิ่งมองก็ยิ่งกระตุ้นโทสะให้ลุกโชน
“จะพูดมากอีกนานไหม ถ้าไม่ตรวจก็ไสหัวออกไป”
“โอเค ๆ กูตรวจ แต่มึงเลิกผ้าห่มขึ้นมาไว้ตรงก้นน้องเขาได้ไหมวะ กูจะดูช่องทางด้านหลังให้ว่าฉีกขาดรึเปล่า”
“ไอ้วิน”
“งั้นกูหันหลังให้ก็ได้ เชิญมึงตรวจดูเอาเองเลย แล้วค่อยมาบอกอาการกู เรื่องง่าย ๆ แค่นี้มึงคงทำเองได้ใช่ไหม?”
เห็นหน้าตาเหี้ยมโหดสายตาพิฆาตราวกับดาบคมกริบ กวินก็รีบขอยอมแพ้ไม่คิดยั่วโทสะคนอารมณ์ร้อนอีก ชายหนุ่มหันหลังหน้ามองผนังห้อง สองมือล้วงกระเป๋าเงี่ยหูฟังเสียงยวบลงของเตียง ไตรวิชญ์ปรายตาขุ่นขวางมองเพื่อนหนุ่ม ดูให้แน่ใจว่ามันไม่หันกลับมาแอบมองก็ตลบผ้าห่มมากองไว้เหนือบั้นเอว ใช้มือแหวกแก้มก้นขาวอวบออกจนเห็นรูเล็ก ๆ ด้านหลัง
“บวมแดง ไม่มีเลือด คงไม่ถึงขั้นฉีก”
“บวมมากไหม”
“นิดหน่อย” เสียงห้าวลึกบอกตามความจริง คิดว่าเป็นเพราะกลไกตามธรรมชาติของร่างกายโอเมก้าที่พอเข้าช่วงฮีทจะขับน้ำหล่อลื่นตรงช่องทางหลังให้ง่ายต่อการผสมพันธุ์
ฟรึบ
มือหนากำผ้าห่มแน่นขึ้น กระชากลงปิดมิดข้อเท้า จะก้นขาว ๆ หรือข้อเท้าเล็กบาง เขาก็ไม่อยากเห็นมันตอนนี้ทั้งนั้น แค่จมูกได้กลิ่นหอมอ่อนจางก็แทบระงับอารมณ์ไว้ไม่ไหว
ร่างสูงกำยำผุดลุกขึ้นจากเตียงเดินเข้าไปหาคนที่ยังยืนหันหน้าเข้าหาผนัง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็คว้าท่อนแขนไอ้เพื่อนตัวร้ายให้ออกจากห้อง ยังดีที่กวินไหวตัวทันเอื้อมมือคว้ากระเป๋าสะพายมาถือไว้แล้วเดินตามแรงกระชากรุนแรงของอีกฝ่าย
ดูท่าไอ้ไตรจะอาการหนักยิ่งกว่าที่คิดไว้ กลิ่นฟีโรโมนของเด็ก
โอเมก้าคนนี้มีอิทธิพลต่อเพื่อนรักเขามาก หรือเพราะเป็นคู่แห่งโชคชะตาจึงมีผลกระทบค่อนข้างมากอย่างช่วยไม่ได้
ฝืนอะไรก็ฝืนได้ แต่ฝืนชะตาลิขิตมันยาก ก็ต้องดูว่าหลังจากนี้เพื่อนของเขาจะทำอย่างไรต่อไป เพราะที่ผ่านมามันไม่เคยเฉียดเข้าใกล้
โอเมก้าทั้งหญิงและชาย ไม่เชิงว่ารังเกียจ แต่เป็นความต่างของชนชั้น
ไตรวิชญ์เป็นอัลฟ่าสายเลือดบริสุทธิ์ที่ไม่มีอย่างอื่นเจือปน ทั้งพ่อและแม่เป็นอัลฟ่า ต้นตระกูลก็เช่นกัน เจ้าตัวคงอยากรักษาสายเลือดแท้ไว้มากกว่าจะเป็นสายเลือดผสม หรือมีเลือดของโอเมก้าเจือปน
เหล่าอัลฟ่าชั้นสูงต่างก็ไม่อยากยุ่งกับโอเมก้าที่ชอบล่อลวงอัลฟ่าให้สยบอยู่แทบเท้าด้วยกลิ่นยั่วยวน
สมัยก่อนมีโอเมก้าบางกลุ่มที่ฉลาดเจ้าเล่ห์คิดอยู่เหนือกว่าเหล่าอัลฟ่า จึงใช้กลิ่นดึงดูดมอมเมาให้อัลฟ่าเกิดการต่อสู้แย่งชิงกันเอง ความเสียหายตอนนั้นไม่น้อยเลย กว่าจะได้สติกลับมาก็สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินภายหลังอัลฟ่าจึงระวังตัวมากขึ้น และเพื่อไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมถึงออกไล่ล่าโอเมก้าและกดขี่ข่มเหงจองจำให้เป็นทาสรับใช้ตน
ช่วงหลังโอเมก้าลดน้อยลง บ้างก็ตาย บ้างก็ถูกขาย และกลายเป็นของกำนัลอัลฟ่าชนชั้นสูง ส่วนใหญ่จะถูกใช้งานเป็นเครื่องบันเทิงใจ หรือไม่ก็เป็นเครื่องมือผลิตทายาท เพราะอัตราให้กำเนิดทายาทอัลฟ่าสูงกว่าคู่อัลฟ่าด้วยกัน
“ให้น้องเขากินยาลดไข้ตามเวลาที่ระบุไว้ หมั่นเช็ดตัวลดอุณหภูมิไม่ให้สูงเกินไปเดี๋ยวจะช็อก แล้วนี่เป็นยาทาลดบวม อย่าลืมทาให้เจ้าตัวน้อยด้วย ถึงช่องทางจะไม่ฉีกขาด แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้พักการมีเพศสัมพันธ์กูเตรียมยาระงับฮีทไว้แล้ว ส่วนมึงกูเอายาระงับรัทมาฝาก เผื่อมึงอดใจไม่ไหวจะได้ไม่เผลอทำรุนแรงเกินไป เดี๋ยวจากที่จะหายมันจะอาการหนักขึ้นอีก”
“พูดมาก มึงกลับไปได้แล้ว ฝากบอกห้องครัวด้วยว่าให้เอาอาหารขึ้นมาให้กูข้างบนห้อง”
“กูรีบมาแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรเลย จะรีบไล่ให้กลับไปไหน ขอลงไปทานข้าวข้างล่างหน่อยแล้วกัน”
“เรื่องของมึงเถอะ จะไสหัวไปไหนก็รีบไป ก่อนที่กูจะเปลี่ยนใจกระทืบมึงคาตีนตรงนี้”
“ไอ้โหดเอ๊ย! ขอให้เมียเด็กเกลียดขี้หน้าไม่อยากเข้าใกล้!”
“ไอ้กวิน!” เสียงกัมปนาทตวาดลั่นพร้อมแรงกดดันที่ส่งออกมา หากแต่กวินกลับหัวเราะชอบใจเดินออกมาอย่างอารมณ์ดี
เขาอายุมากกว่าไอ้ไตรหลายปีเป็นเพื่อนต่างวัยที่สนิทกันมาก