ตอนที่ 6 ความชอบที่ต่างกัน
หนึ่งปีต่อมา
ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยแปดปีกำลังขี่ม้าแข่งขันกับร่างสูงของเด็กชายวัยสิบสี่ปี เสียงร้องเรียกของบ่าวรับใช้ที่ข้างสนามทำให้สองพี่น้องชะลอความเร็วของม้าลง และค่อยๆ ขี่ม้ากลับมายังข้างสนาม ที่ซึ่งมีลุงลู่ ซุนซุน และหวงเทายืนอยู่ บ่าวชายรับม้าก่อนที่จะพาไปยังคอกม้า ส่วนคุณชายใหญ่และคุณหนูสี่ก็เดินนำทั้งลุงลู่และบ่าวรับใช้ทั้งสองกลับไปยังเรือนใหญ่
“เป็นเช่นไรบ้างหลงเอ๋อร์ น้องสาวของเจ้า” ใต้เท้าฉีเอ่ยถามบุตรชายคนโตหลังจากรับประทานอาหารเย็นร่วมกันเสร็จ
“ก้าวหน้ามากขึ้นแล้วขอรับท่านพ่อ อีกหกปีข้างหน้า ลูกว่าคงมิมีผู้ใดเอาชนะการตีคลีของสกุลฉีไปได้แล้วล่ะขอรับ” ฉีอันหลงตอบบิดาพลางมองหน้าน้องสาววัยแปดปี
“ท่านพ่อ… ลูกยังอยากศึกษาวิชาการยิงธนูด้วยเจ้าค่ะ" คำขอที่ดังออกมาจากริมฝีปากเล็กของบุตรีทำเอาท่านเจ้าเมืองที่กำลังยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มถึงกับต้องชะงักมือ
“เจ้าแน่ใจหรือหนิงเอ๋อร์” ใต้เท้าฉีเอ่ยถามบุตรีของตนออกมาเพื่อความแน่ใจ
“แน่ใจเจ้าค่ะ ยามนี้ลูกเห็นท่านพี่ทั้งสามได้เรียนวิชาขี่ม้ายิงธนู ลูกก็อยากจะฝึกบ้าง” เด็กหญิงวัยแปดปีกล่าวถึงเหตุผลออกมา
“จะดีหรือเจ้าคะท่านพี่ เพียงแค่ขี่ม้า ต่อบทกวี ดีดฉิน โยนศร หมากล้อม นางก็เก่งเกินบุรุษแล้วนะเจ้าคะ”
ฉีฮูหยินอยากจะคัดค้าน เพราะเพียงเท่าที่นางเอ่ยมาก็มิมีบุรุษใดในใต้หล้าสามารถเรียนรู้ได้ทุกอย่างเพียงในเวลาไม่กี่ปีเช่นบุตรีของนางแล้ว
“มิเป็นไรหรอกฮูหยิน ให้ลูกของเราได้มีวิชาความรู้ติดตัว เผื่อในอนาคตนางอาจจะได้ช่วยส่งเสริมสามีของนาง” ใต้เท้าฉีบอกภรรยายิ้มๆ
“พ่อเห็นว่าเจ้าสอบได้ลำดับที่หนึ่งในปีที่ผ่านมา เช่นนั้นเรื่องวิชายิงธนูพ่อจะให้เจ้าได้เรียนรู้ไปพร้อมกับพวกพี่ๆ เขาด้วย”
คำตอบของผู้เป็นบิดาทำเอาเด็กหญิงฉีกยิ้มกว้างออกมา ส่วนมารดาและพี่ชายทั้งสามได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเอ็นดู เพราะคงจะห้ามมิได้ ในเมื่อนางอยากเรียนก็ให้นางได้เรียนตามที่นางต้องการ
สำนักศึกษาหลี่ชุน
วันนี้มีการทดสอบการแสดงความคิดเห็นของบรรดาศิษย์ที่เป็นสตรี และฉีอันหนิงก็เป็นหนึ่งในนั้น ฉีอันหนิงชื่นชอบการได้แสดงความคิดเห็นเป็นอย่างมาก นางคิดว่ามิว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีก็มีความเท่าเทียมกัน มิควรแบ่งแยกเพียงเพราะการที่บุรุษแข็งแรงกว่าหรือตัวโตกว่า เมื่อก่อนอาจจะมีเพียงบุรุษที่สามารถศึกษาหาความรู้และเป็นขุนนางในวังหลวงได้ แต่ในยุคสมัยของนางนี้ ทั้งบุรุษและสตรีได้รับความเท่าเทียมกันมากกว่าแต่ก่อนแล้ว
“วันนี้อาจารย์จะให้พวกเจ้าแสดงความคิดเห็นของพวกเจ้าออกมา ในหัวข้อที่อาจารย์กำหนด” อาจารย์หลี่เอ่ยออกมาที่หน้าห้องเรียน
“เจ้าค่ะ” เหล่าบรรดาลูกศิษย์ตอบรับออกมาพร้อมกัน
“สำหรับการทดสอบในครั้งนี้ อาจารย์จะให้พวกเจ้าแสดงความคิดเห็นเรื่องสหาย จงบอกถึงสหายที่เจ้าอยากมีและสหายแบบไหนที่เจ้าอยากอยู่ให้ห่างไกล”
อาจารย์หลี่กับอาจารย์ยี่หรุนมองไปรอบๆ ก็พบเห็นว่ามีเด็กหญิงหลายๆ คนหันไปมองหน้ากัน นั่นอาจจะเป็นเพราะมิตรสหายแบบคนข้างๆ ที่พวกนางอยากมี
“อันหนิง ในฐานะที่เจ้าสอบได้ลำดับที่หนึ่งในปีที่ผ่านมา ไหนลองบอกอาจารย์หน่อยได้หรือไม่ว่าสหายแบบไหนที่เจ้าอยากคบหาและสหายแบบไหนที่เจ้าอยากอยู่ให้ไกล”
อาจารย์ยี่หรุนเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาก่อน ฉีอันหนิงยืนขึ้นก่อนที่จะเริ่มแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้อที่อาจารย์เอ่ยถามออกมา
“สำหรับศิษย์แล้ว สหายคือคนที่จะอยู่กับเราไปตลอดแม้จะไม่ได้พบเจอกันอีกแต่ก็ยังคงมีความระลึกถึง มีความปรารถนาดี และมีความหวังดีต่อกันเสมอ มิตรภาพที่เกิดจากความจริงใจไม่หวังผลตอบแทนย่อมดีกว่าการคบหากันเพียงเพราะหวังผลประโยชน์จากอีกฝ่าย เพราะถ้าเป็นการคบหาเพียงเช่นนั้น หากวันใดวันหนึ่งอีกฝ่ายหมดประโยชน์ คำว่ามิตรภาพก็หมดลงไปเช่นกันเจ้าค่ะ สำหรับศิษย์แล้วขอเลือกคบหากับสหายที่มีความจริงใจมอบให้มา มิได้เข้าหาศิษย์เพราะหวังผลประโยชน์ใดๆ ส่วนผู้ใดที่เข้าหาเพียงเพราะหวังผลประโยชน์ก็คงยากที่จะได้ใจของศิษย์กลับไปเช่นกัน”
ฉีอันหนิงกล่าวออกมาตามที่ใจคิด นางมิได้หวังคบหากับเพื่อนที่เข้ามาเพียงเพราะเห็นว่านางมีประโยชน์ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว วันที่นางหมดประโยชน์ เพื่อนเหล่านั้นก็จะห่างหายออกไปจากชีวิต
อาจารย์พยักหน้าอย่างถูกใจกับคำตอบ การคบหากันหากมิได้คบหาด้วยความจริงใจแต่ทว่ามีผลประโยชน์ใดแอบแฝง หากเป็นเช่นนั้น ในภายภาคหน้าหากอีกฝ่ายหมดประโยชน์ คำว่าเพื่อนก็คงถูกมองข้ามไปเช่นกัน เสียงปรบมือจากเพื่อนร่วมห้องของฉีอันหนิงดังขึ้น
“เอาล่ะ เอาล่ะ” อาจารย์หลี่ยกมือขึ้นเพื่อให้เด็กๆ หยุดปรบมือและพูดคุยกัน
“ที่อันหนิงกล่าวมาถูกต้องหรือไม่ หากสหายที่เข้ามาคบหากับพวกเจ้าเพียงเพราะมองเห็นประโยชน์จากตัวของพวกเจ้า พวกเจ้ายังจะคิดคบหากับอีกฝ่ายอยู่ไหม เพราะวันหนึ่งที่พวกเจ้าหมดประโยชน์สหายไม่แท้เหล่านั้นก็จะหายไปจากชีวิตของพวกเจ้า” เขาเอ่ยถามบรรดาลูกศิษย์ที่เหลือ
“ถูกแล้วเจ้าค่ะ ไม่ขอคบด้วยเจ้าค่ะ” ศิษย์หญิงตอบออกมาพร้อมกัน
และแล้วการทดสอบแสดงความคิดเห็นของวันนี้ก็ผ่านไป เพราะมิใช่ข้อสอบหากแต่เป็นเพียงการทดสอบสติปัญญาและจิตใจของบรรดาลูกศิษย์เท่านั้น
อาจารย์หลี่และอาจารย์ยี่หรุนต่างพากันพอใจกับสติปัญญาและสภาพจิตใจของเด็กๆ ที่กำลังเติบโตขึ้นมาเป็นสตรีที่งดงามในวันข้างหน้า พื้นฐานของครอบครัวนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ที่พวกตนยกเรื่องมิตรสหายมาให้เด็กๆ ได้แสดงความคิดเห็นออกมาก็เพื่อที่จะเป็นการแนะนำแนวทางในการคบหากันให้เด็กๆ ได้เข้าใจ ว่าการคบกับผู้ใดนั้น หากเราหวังผลประโยชน์จากอีกฝ่าย ในวันที่เขาหมดประโยชน์ต่อตนแล้ว คำว่ามิตรภาพก็จะมลายหายไปเช่นกัน
หลังเลิกเรียน ฉีอันหนิงก็ได้กลับไปเรียนยิงธนูเช่นเดียวกับพี่ๆ ในคราแรกนั้นนางยังทำออกมาได้ไม่ดี แต่ทว่านางกลับไม่ยอมแพ้ จากหนึ่งวันเป็นหนึ่งสัปดาห์ จากหนึ่งสัปดาห์เป็นหนึ่งเดือน เด็กหญิงไปฝึกฝนยิงธนูกับพวกพี่ๆ ทุกวันมิได้เกียจคร้าน จนวันหนึ่งอาจารย์ที่มาสอนให้ทายาทสกุลฉีให้เด็กๆ ทำการทดสอบ เพื่อดูว่าฝีมือก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว และผลที่ได้รับ ฉีอันหนิงทำการยิงธนูได้เข้าเป้ามากกว่าพี่รองของนางเสียอีก เพราะอีกฝ่ายนั้นถนัดบุ๊นมากกว่าบู๊ ชอบบทกวีและดนตรีมากกว่าการขี่ม้าหรือยิงธนู
“ทำได้ดีมากอันหนิง อีกหน่อยเจ้าคงจะเป็นลูกศิษย์หญิงคนแรกของข้าที่ยิงธนูแม่นกว่าสตรีใดในเมืองตงหลางนี้แล้วล่ะ”
อาจารย์ชวนเอ่ยชมออกมาด้วยความพอใจเมื่อเห็นทักษะการยิงธนูที่ก้าวหน้าของลูกศิษย์ตัวน้อย อายุเพียงเท่านี้แต่นางกลับแม่นยำนัก อีกหน่อยเติบโตมาคงจะเก่งกาจเกินบุรุษอย่างแน่นอน
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านอาจารย์ ฝีมือของศิษย์ยังคงต้องฝึกฝนอีกเยอะ” นางถ่อมตนเสมอ มิว่าจะเป็นการเรียนรู้สิ่งใด นางมักจะไม่โอ้อวดตน อาจารย์ชวนพยักหน้าก่อนที่จะส่งยิ้มให้นางอย่างเอ็นดู
ฉีอันหนิงจึงขึ้นหลังม้าตัวเล็กแล้วควบขี่ไปตามทางที่อาจารย์กำหนด ด้านหลังมีกระบอกใส่ลูกธนูที่นางสะพายเอาไว้ มือขวาถือคันธนูเมื่อไปถึงจุดที่อาจารย์กำหนดให้ยิงธนูได้แล้ว ฉีอันหนิงจึงยกคันธนูขึ้นมาก่อนที่จะใส่ลูกธนูแล้วง้างศรยิงสุดกำลัง ลูกธนูพุ่งเข้ากลางเป้าไปอย่างจังเรียกเสียงปรบมือจากทั้งอาจารย์ พี่ชายทั้งสามและบ่าวรับใช้ที่ติดตามมาดูแลคุณชายและคุณหนูของตน
“อายไหมน้องรอง เจ้าแพ้น้องสี่แล้วนะ” ฉีอันหลงหยอกล้อน้องชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ตนทันทีที่เห็นน้องเล็กควบขี่ม้ายิงธนูเข้าเป้าทุกเป้า
“ข้ามิอายหรอกขอรับท่านพี่ใหญ่ เพราะข้ามิถนัดเรื่องบู๊เท่าเรื่องบุ๊นเท่าใดนัก น้องหญิงสี่แม้นางยังเด็ก แต่นางกลับชอบศึกษาทุกอย่างที่นางสนใจ ข้านั้นภูมิใจในตัวนางเป็นอย่างยิ่งขอรับ”
ฉีอันลิ่งตอบผู้เป็นพี่ชายด้วยใบหน้าที่แสดงออกมาถึงความภูมิใจยามเมื่อมองไปยังน้องเล็กที่เป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียว
“ได้ยินเจ้ากล่าวเช่นนี้พี่ก็ดีใจ ชอบสิ่งใดก็จงทำสิ่งนั้นให้ดีเถิด ท่านพ่อกับท่านแม่ของพวกเราท่านเป็นคนมีเหตุผลและสนับสนุนในสิ่งที่พวกเราชอบเสมอ”
พี่ชายใหญ่วางมือเรียวลงบนไหล่เล็กของน้องชายวัยสิบสองปีก่อนที่จะมองไปยังลานขี่ม้าด้านหน้าที่มีน้องสามและน้องสี่กำลังขี่ม้ายิงธนูกันอยู่ ปีหน้าตัวของฉีอันหลงเองก็ต้องไปสอบเคอจวี่แล้ว เขาต้องเรียนรู้ให้หนักขึ้นเพื่อมิทำให้สกุลฉีผิดหวัง การสอบเคอจวี่ครั้งแรกของเขาจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี
“ท่านพี่ น้องเก่งหรือไม่เจ้าคะ” ฉีอันหนิงบังคับม้ากลับมาหาบรรดาพี่ๆ หลังจากยิงธนูบนหลังม้าเสร็จ
“เจ้าเก่งมากน้องหญิงสี่” พี่รองเอ่ยชมออกมาจากใจของเขาจริงๆ
“ท่านพี่รองก็ทำได้ดีแล้วเจ้าค่ะ น้องรู้ดีว่าท่านพี่มิได้ชอบการขี่ม้ายิงธนู เช่นเดียวกับพี่สามก็มิได้ชอบเช่นกัน”
แต่ที่พี่รองและพี่สามต้องเรียนรู้ไปด้วยเพราะท่านพ่อเป็นผู้สั่งการลงมาว่าให้บุตรชายทั้งสามมีวิชาขี่ม้ายิงธนูติดตัว ฉีอันหนิงจึงได้ผลประโยชน์ในครั้งนี้ไปด้วย
“แต่เจ้าสามก็ยังฝีมือดีกว่าพี่ ขี่ม้าได้เก่งกว่าพี่เสียอีก เจ้าอย่าชมให้พี่ได้ใจไปเลยน้องหญิง เรื่องบู๊พี่ขอยอมแพ้ แต่ถ้าหากเป็นบุ๊นละก็พี่สู้ตาย” สามพี่น้องหัวเราะออกมา ฉีอันลู่ที่เพิ่งยิงธนูเสร็จหันกลับมามองก็นึกว่าพี่น้องหัวเราะใส่ตนที่ยิงธนูพลาดจึงควบม้ากลับมาหา
“ข้าฝีมือห่วยเอง ถึงพวกท่านมิหัวเราะเยาะข้า ข้าก็รู้ตัวของข้าดี” เขาทำหน้าจ๋อยลงแต่เมื่อได้ยินประโยคที่ท่านพี่ใหญ่บอกเขาจึงยิ้มออกมาได้
“ใครบอกว่าพวกพี่หัวเราะเยาะฝีมือการยิงธนูของเจ้า พวกพี่หัวเราะเยาะพี่รองของเจ้าต่างหากที่บอกว่าเรื่องบู๊เขายอมแพ้ แต่ถ้าเป็นเรื่องบุ๋นเขาสู้ตาย”
“พี่สามเก่งแล้วเจ้าค่ะ ทำในสิ่งที่ท่านมิชอบได้ขนาดนี้” ฉีอันหนิงลงจากหลังม้าแล้วส่งเชือกให้กับบ่าวชายเพื่อนำม้ากลับไปยังคอก
“พวกเจ้าเก่งทุกคนนั่นแหละ แต่ทว่าความเก่งของพวกเจ้าทั้งสี่นั้นแตกต่างกัน อย่าได้คิดมากไปเลย มิใช่ทุกคนที่จะเกิดมาแล้วจะเก่งกาจไปเสียทุกอย่าง ของพวกนี้มันอยู่ที่การฝึกฝนและความเอาใจใส่ รวมไปถึงความชอบ อาจารย์เข้าใจ ท่านเจ้าเมืองท่านพ่อของพวกเจ้าก็มิได้บังคับให้อาจารย์ทำให้พวกเจ้าชอบในสิ่งที่อาจารย์สอนไป เขาเพียงอยากให้พวกเจ้ามีวิชาความรู้ด้านนี้ติดตัวเอาไว้ เผื่อในอนาคตจะได้ป้องกันตนเองและคนที่พวกเจ้ารักได้” อาจารย์ชวนที่เพิ่งเดินมาหาเด็กๆ เอ่ยขึ้นมา ศิษย์ทั้งสี่ยกมือขึ้นมาคำนับเขาพร้อมๆ กัน
“วันนี้พอเท่านี้ก่อนเถิด วันนี้ทำได้ดีแล้ว มิต้องกดดันตนเอง”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”
ลูกศิษย์ทั้งสี่ขานรับออกมาพร้อมกัน เมื่ออาจารย์ชวนเดินจากไปสี่คนพี่น้องก็พากันนั่งพักอยู่ที่ศาลาพากันต่อบทกวีอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงพากันกลับจวน