ตอนที่ 5 ฝึกฝน
หลังจากที่บิดารับปากว่าจะให้ฉีอันหนิงฝึกขี่ม้าแล้ว เขาก็ทำตามที่รับปากนางเอาไว้โดยให้บ่าวรับใช้คนสนิทของตน เป็นผู้ช่วยฝึกให้นาง ฉีอันหนิงหัวเร็ว เด็กหญิงสามารถขี่ม้าได้แบบไม่หวาดกลัว ต่างจากพี่รองที่มิเอาดีในด้านนี้เลยสักนิด พี่ใหญ่มองน้องสาวด้วยสายตาที่ภาคภูมิใจ เขาขี่ม้าเป็นก่อนน้องๆ เพราะเขาเองก็ฝึกขี่ม้าในวัยเดียวกับผู้เป็นน้องสาวเช่นกัน
“เก่งมากหนิงเอ๋อร์ อีกหน่อยเจ้าก็ขี่ม้าแข่งกับพี่ได้แล้ว” ฉีอันหลงเอ่ยชมน้องสาวออกมา
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่ แต่น้องว่าน้องยังต้องฝึกให้บ่อยกว่านี้” ฉีอันหนิงถ่อมตน
“รอเจ้าโตกว่านี้ก็แข่งตีคลีได้แล้ว ถึงยามนั้นสกุลฉีของเราคงมิมีผู้ใดสามารถเอาชนะได้แล้วล่ะ” เด็กหญิงส่งยิ้มให้กับผู้เป็นพี่ชาย ก่อนที่ทั้งคู่จะขี่ม้าเคียงคู่กันไป ซุนซุนมองตามคุณหนูสี่ไปด้วยสายตาเป็นห่วง
“เจ้ามิต้องห่วงคุณหนูสี่หรอกซุนซุน คุณหนูสี่ของเจ้าเก่งเกินวัย นางเป็นเด็กที่มีความสามารถ”
ลุงลู่ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากใต้เท้าฉีให้เป็นผู้ฝึกสอนคุณหนูสี่ขี่ม้าเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ลูกศิษย์เช่นนางมิมีผู้ใดที่มิอยากสั่งสอน เพราะคุณหนูสี่ความจำดี เรียนรู้เร็ว และอ่อนน้อมถ่อมตน นางมิได้แบ่งชนชั้นว่านางคือคุณหนูผู้สูงศักดิ์ หากนางเป็นศิษย์ นางก็ถือตนว่านางเป็นศิษย์
“แต่… ข้ากังวลว่า คุณหนูสี่ของข้าจะเก่งเกินสตรี”
“อ้าว… มิดีหรอกหรือซุนซุน เจ้าจะได้มิต้องกังวลว่าจะมีผู้ใดมากลั่นแกล้งรังแกคุณหนูสี่ได้อย่างไรล่ะ”
ซุนซุนในวัยสิบสองปีพยักหน้าขึ้นลงอย่างเห็นด้วย นางเป็นเพียงสาวใช้คงมิอาจปกป้องคุณหนูสี่ได้เต็มที่ หากคุณหนูของนางจะมีวิชาความรู้เยี่ยงบุรุษก็เป็นผลดีต่อตัวของคุณหนูเองในภายภาคหน้า
หลังจากฝึกซ้อมขี่ม้าเสร็จ คุณชายใหญ่และคุณหนูสี่สกุลฉีก็พากันกลับจวนเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน แม้จะรู้สึกว่าตนเองฝึกขี่ม้าได้ดีพอแล้ว แต่ฉีอันหนิงก็ยังมิวายชวนพี่ชายออกไปฝึกกับนางอีกหลังจากรับประทานมื้อกลางวันเสร็จ
“หนิงเอ๋อร์ ลูกชอบขี่ม้าหรือไม่”
ฉีฮูหยินเอ่ยถามบุตรีของนางหลังจากรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันเสร็จ ยามนี้ใต้เท้าฉีมิได้อยู่ที่จวน จึงมีเพียงนางและลูกๆ อีกสามคนที่รับประทานอาหารกลางวันพร้อมกัน
“ชอบเจ้าค่ะ ขี่ม้าสนุกดี”
ฉีอันหนิงตอบมารดา ฉีฮูหยินได้ฟังเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาพลางลูบไปที่ศีรษะของบุตรีก่อนที่นางจะลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารแล้วเดินออกจากโต๊ะอาหารไป เด็กๆ ทั้งสามคำนับลามารดาก่อนที่จะหันมาพูดคุยกัน
“เจ้าเป็นสตรีจะออกไปขี่ม้าทำไมกัน สู้อยู่ต่อบทกวีเป็นเพื่อนพี่ดีกว่า”
พี่รองอย่างฉีอันลิ่งเอ่ยขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นว่าพักหลังมานี้น้องสาวนั้นชอบออกไปฝึกขี่ม้ากับพี่ใหญ่จนเขามิได้ฝึกต่อบทกวีกับพี่ชายใหญ่เลยสักครั้ง
“บทกวีมิยากหรอกนะเจ้าคะท่านพี่รอง และน้องจำได้หมดแล้ว แต่การขี่ม้ามิใช่ว่าขี่เป็นแล้วจะมิฝึกก็ได้ หากละเลยที่จะฝึกไป ม้าก็จะมิคุ้นเคยกับน้องหรอกนะเจ้าคะ” ฉีอันหนิงอธิบายให้พี่รองฟัง เหตุใดนางจะมิทราบว่าพี่รองนั้นอยากจะรั้งตัวพี่ชายใหญ่เอาไว้เพื่อฝึกต่อบทกวีกับเขา
พี่ชายใหญ่ได้แต่ฉีกยิ้มออกมากับการฟังน้องรองและน้องเล็กพูดคุยกันด้วยเหตุและผล เขาจึงตัดปัญหาด้วยการสอนน้องเล็กขี่ม้าวันละหนึ่งชั่วยาม และต่อบทกวีกับน้องรองวันละครึ่งชั่วยาม
“แล้วนี่เจ้าสามไปที่ใดกัน วันนี้ใยพี่มิได้พบเจอเขาเลย”
ฉีอันหลงเอ่ยถามน้องๆ ออกมา เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้หลังจากมื้อเช้าเขามิได้พบหน้าน้องสามเลย แม้แต่ตอนรับประทานอาหารกลางวัน ฉีอันลู่ก็มิได้ออกมาร่วมโต๊ะพร้อมหน้า
“พี่สามอยู่ที่ศาลาริมน้ำหลังจวนเจ้าค่ะ วันนี้เห็นท่านพี่สามบอกน้องว่าจะไปตกปลา แล้วจะปิ้งปลากินที่นั่นมิกลับมากินมื้อกลางวันด้วยเจ้าค่ะ ท่านพ่อกับท่านแม่ก็มิได้ว่ากล่าวอันใด” ฉีอันหนิงที่นึกขึ้นได้บอกกับพี่ชายออกมา
“ถ้าเช่นนั้นยามนี้เรามาต่อบทกวีกันก่อนดีหรือไม่ท่านพี่น้องหญิงสี่ แดดยามนี้ช่างร้อนนัก คงมิดีหากพี่ใหญ่จะออกไปขี่ม้ากันยามนี้”
ฉีอันลิ่งรีบชักชวนพี่ใหญ่และน้องสาวขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าแสงสุริยันในยามนี้นั้นสามารถทำให้ผิวกายไหม้เกรียมได้โดยไม่ยาก
“พี่เห็นด้วยกับน้องรองนะหนิงเอ๋อร์ เอาไว้ยามเชินเราค่อยออกไปฝึกขี่ม้ากันอีกคราก็ได้ ยามนี้แสงแดดช่างเจิดจ้ายิ่งนัก”
เขาก็มิอยากจะให้ผิวกายอันขาวเนียนละเอียดของผู้เป็นน้องสาวต้องมากระดำกระด่างเพราะแสงแดดเช่นกัน หากภายภาคหน้าน้องสาวอยากออกเรือนคงจะยาก ยามนี้นางยังมิบ่นให้เขา แต่ถ้าหากนางเติบโตเป็นสตรีที่งดงามขึ้นมาแต่ทว่าผิวกายมิได้งดงามเช่นเดียวกัน ยามนั้นนางคงจะต้องกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของเขาเป็นแน่ ที่มิได้ห้ามปรามนาง
“เจ้าค่ะท่านพี่ ถ้าเช่นนั้นเราไปที่ศาลาริมน้ำดีไหมเจ้าคะ น้องจะให้พี่ซุนซุนนำฉินไปให้น้องบรรเลงให้พวกท่านพี่ได้ฟังด้วย”
พี่รองได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับดีใจ เขาชื่นชอบทั้งบทกวีและดนตรี แต่ทว่าความสามารถในการเล่นฉินของเขายังคงมิได้เรื่อง ต่างจากน้องหญิงสี่อย่างสิ้นเชิง
สามพี่น้องพากันไปที่ศาลาริมน้ำหลังจวน ที่ซึ่งมีฉีอันลู่นอนกลางวันอยู่หลังจากรับประทานมื้อกลางวันเสร็จ บ่าวรับใช้ของคุณชายสามเมื่อเห็นว่าคุณชายและคุณหนูทั้งสามมาเยือนจึงรีบปลุกคุณชายสามให้ตื่นจากการหลับใหล
“อื้อ….. พี่หลงฮ่าว ข้าบอกว่าให้ปลุกข้ายามเว่ยอย่างไรล่ะ เหตุใดจึงรีบปลุกข้าเร็วนัก ยังง่วงนอนอยู่เลย” ผู้ที่ถูกปลุกเอ่ยออกมาพลางบิดกายไปมา
“กินแล้วนอนระวังเป็นหมูนะเจ้าคะท่านพี่สาม” เสียงเล็กของฉีอันหนิงเรียกสติให้ฉีอันลู่ เขาขยี้ตาก่อนที่จะมองไปยังน้องสาวก็พบว่าพี่ชายทั้งสองก็มาพร้อมกันกับนางเช่นกัน
“ข้าเพิ่งจะเก้าขวบ ยังเด็กนัก มิมีทางอ้วนเป็นหมูหรอกน้องสี่” เขาบ่นออกมาก่อนที่จะคำนับพี่ชายใหญ่และพี่ชายรอง
“ตามสบาย พวกพี่คงมิได้มารบกวนเวลานอนของเจ้าหรอกใช่ไหมลู่เอ๋อร์” ฉีอันหลงผู้เป็นพี่ชายใหญ่วัยสิบสามปีเอ่ยถามออกมายิ้มๆ
“หามิได้ขอรับท่านพี่ ข้าตื่นพอดี” เขาตอบพี่ชายใหญ่ยิ้มๆ ก่อนที่จะเหล่ตาไปมองน้องเล็กที่ส่งยิ้มน่ารักมาให้
“พวกพี่จะมาต่อบทกวีกัน เจ้าสนใจหรือไม่”
ฉีอันลิ่งเอ่ยถามน้องสามของตน และคำตอบที่ได้คือฉีอันลู่พยักหน้าให้เขา เพราะน้องสามของเขาก็ชื่นชอบการต่อบทกวีเช่นกัน รวมไปถึงการเล่นดนตรีด้วย
“แล้วฉินนั่น ผู้ใดจะเล่นกันหรือขอรับ” ฉีอันลู่เอ่ยถามออกมาอีกครา
“น้องเองเจ้าค่ะ”
ฉีอันหนิงส่งยิ้มให้พี่สามอีกครั้งก่อนที่สี่คนพี่น้องจะเริ่มต่อบทกวีกันในศาลาริมน้ำที่มีสายลมพัดมาเอื่อยๆ เสียงฉินที่ถูกบรรเลงโดยฉีอันหนิงทำให้พี่ชายทั้งสาม รวมไปถึงสาวรับใช้และบ่าวรับใช้ของพวกตนต่างพากันเคลิบเคลิ้มไปกับความไพเราะของท่วงทำนอง
การต่อบทกวีและเล่นดนตรีของสี่คนพี่น้องยาวนานเกือบหนึ่งชั่วยาม ก่อนที่ฉีอันหลงและฉีอันหนิงจะพากันไปยังสนามตีคลีเพื่อฝึกขี่ม้าต่อ ทั้งสองเอ่ยชวนฉีอันลิ่งและฉีอันลู่ให้ไปด้วยกันแล้ว แต่ทว่าเด็กชายทั้งสองนั้นรู้สึกเกียจคร้าน อยากจะนอนพักผ่อนมากกว่า ฉีอันหลงจึงพาน้องเล็กอย่างฉีอันหนิงไปฝึกขี่ม้าต่อตามที่ได้สัญญากับนางเอาไว้
ร่างเล็กของเด็กหญิงที่กำลังควบขี่ม้าตัวขนาดกลาง ชุดฮั่นฝูสีฟ้าปลิวไสวไปตามแรงลมที่ปะทะกับร่างเล็กของนาง ถึงแม้ว่าฉีอันหนิงจะสามารถขี่ม้าด้วยตนเองแล้ว แต่ทว่าความปลอดภัยของนางก็สำคัญ ลุงลู่คอยสอดส่องดูแลคุณชายและคุณหนูสกุลฉีอยู่มิห่าง เขามองไปคุณหนูสี่ด้วยสายตาชื่นชม นางอายุยังน้อยแต่ทว่ากลับมีความสามารถมากมาย แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะนางเหมือนกับฉีฮูหยิน เป็นสตรีที่มีดีมิแพ้บุรุษ
“วันนี้พอเท่านี้ก่อนเถิดนะขอรับคุณชายใหญ่ คุณหนูสี่”
ลุงลู่ตะโกนบอกคุณชายและคุณหนูที่ดูจะสนุกกับการขี่ม้าจนลืมเวลา ยามนี้ท่านเจ้าเมืองคงจะกลับมาจากการออกไปทำงานแล้ว
“กลับเรืิอนกันเถิดหนิงเอ๋อร์ วันนี้เจ้าทำได้ดีมาก พรุ่งนี้กลับมาจากสำนักศึกษาเราค่อยมาฝึกฝนกันใหม่” ฉีอันหลงเอ่ยชวนน้องสาว ฉีอันหนิงพยักหน้าก่อนที่สองพี่น้องจะขี่ม้ากลับไปหาลุงลู่
บ่าวรับใช้ชายรอรับม้าและพามากลับไปยังคอก ส่วนฉีอันหลงและฉีอันหนิง พร้อมด้วยบ่าวรับใช้ชายหญิงก็พากันกลับเรือนเพื่ออาบน้ำและรอรับประทานมื้อเย็นพร้อมกับบิดามารดาและพี่น้องของตน
ใต้เท้าฉี ฉีฮูหยิน และเด็กๆ ทั้งสี่นั่งล้อมวงร่วมรับประทานมื้อเย็นร่วมกันเช่นเดียวกับในทุกๆ วัน อาหารหลากหลายอย่างเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะอาหาร ทุกคนตั้งอกตั้งใจรับประทานโดยที่มิมีผู้ใดกล่าวอันใดออกมา แต่ทว่าเมื่อมื้ออาหารผ่านพ้นไป ใต้เท้าฉีก็มักจะใช้เวลาเหล่านั้นคอยถามไถ่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวันของบุตรชายและบุตรีทุกคนเพื่อมิให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและลูกๆ ห่างเหินกันไป โดยเฉพาะบุตรชายคนโตที่อีกไม่นานเขาก็จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ
“หลงเอ๋อร์ วันนี้เจ้าทำการอันใดบ้าง” เขาเริ่มต้นเอ่ยถามบุตรชายคนโตก่อนเป็นลำดับแรก
“วันนี้ลูกไปขี่ม้าเป็นเพื่อนน้องหญิงสี่ หลังมื้อกลางวันลูกกับน้องๆ ก็พากันต่อบทกวีและฟังน้องหญิงสี่ดีดฉินที่ศาลาริมน้ำขอรับ” ฉีอันหลงรายงานผู้เป็นบิดา
“อืม… เจ้าล่ะลิ่งเอ๋อร์ วันนี้เจ้าทำการอันใดบ้าง” บุตรชายคนรองคือคนถัดมาที่ใต้เท้าฉีเอ่ยถาม
“วันนี้ลูกอ่านบทกวีและหลังมื้อกลางวันลูกก็ได้ต่อบทกวีกับท่านพี่ใหญ่ พร้อมทั้งฟังน้องหญิงสี่ดีดฉินขอรับ” ฉีอันลิ่งรายงานผู้เป็นบิดา ใต้เท้าฉีพยักหน้าก่อนที่จะหันไปถามบุตรชายคนที่สาม
“วันนี้ลูกตกปลาและก็ปิ้งปลากินอยู่ที่ศาลาริมน้ำกับต้าถง หลังจากนั้นลูกก็นอนพักสายตาอยู่หนึ่งก้านธูป ไม่นานพี่ใหญ่ พี่รองและน้องหญิงสี่ก็พากันมาชวนข้าต่อบทกวีกับดีดฉีนขอรับ” เขาตอบกลับมาตามความจริง
“เจ้าก็คงมิต่างจากพวกพี่ๆ ของเจ้าใช่หรือไม่หนิงเอ๋อร์” ใต้เท้าฉีถามบุตรีคนเล็กของตนด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าค่ะ วันนี้ลูกฝึกขี่ม้ากับลุงลู่และพี่ใหญ่ สนุกมากๆ เลยนะเจ้าคะ และช่วงหลังมื้อกลางวัน ลูกก็ดีดฉินให้พวกพี่ๆ ฟังด้วยเจ้าค่ะ”
ฉีอันหนิงรายงานสิ่งที่ตนได้กระทำวันนี้ให้กับบิดาได้ฟัง ฉีฮูหยินอมยิ้มน้อยๆ ให้กับความใฝ่รู้ของบุตรี แม้จะกังวลว่าภายภาคหน้านางจะหาสามียาก แต่ในยามนี้เพียงแค่ได้เห็นว่าฉีอันหนิงได้ทำในสิ่งที่ชื่นชอบ เพียงเท่านี้นางก็มีความสุขแล้ว
“พ่อได้ยินเช่นนี้ก็ค่อยสบายใจ พวกเจ้าแยกย้ายกันกลับห้องไปพักผ่อนเถิด”
ใต้เท้าฉีส่งรอยยิ้มอบอุ่นไปให้กับบุตรชายและบุตรีทั้งสี่พร้อมทั้งเอ่ยออกมา เด็กๆ ทั้งสี่จึงคำนับลาเขาและภรรยา ก่อนที่ผู้เป็นพี่ชายจะเดินนำน้องๆ ออกจากห้องนี้ แล้วเด็กๆ ก็แยกย้ายกันกลับไปยังห้องนอนของตนโดยมีบ่าวรับใช้คนสนิทของแต่ละคนคอยติดตามไปดูแล